เมื่อ AI มาช่วยกู้วิกฤต สู้ภัยธรรมชาติในไทย

07 สิงหาคม 2025
|
79 อ่านข่าวนี้
|
1


ปัจจุบันเราได้เห็นการนำ AI มาใช้เพื่อกู้วิกฤตสู้ภัยธรรมชาติในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในไทยที่มากขึ้นตามลำดับ บอกได้ถึงทิศทางที่เด่นชัดที่เราจะเดินหน้าเรียนรู้ ลงทุน และพัฒนา นำ AI มาใช้เพื่อให้ไทยปลอดภัยและยั่งยืน

AI กับสถานการณ์น้ำท่วมในเชียงราย

 นักวิชาการกล่าวว่าเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567 นับเป็นวิกฤตที่หนักที่สุดในรอบ 40 ปี และเพื่อบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้น AI ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างน่าสนใจ ทั้งในช่วงเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติและเพื่อนำไปใช้เตือนภัย นำไปสู่การจัดการและบรรเทาผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแท้จริง โดยมีหลายตัวอย่างที่โดดเด่นเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานร่วมกัน

  • Google Flood Hub
    เช็กน้ำท่วม Real Time สำหรับประชาชนทั่วไป บริการนี้ที่ประมวลผลข้อมูลโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลหลายประเภท เช่น สภาพอากาศ ภูมิประเทศ และประวัติเกิดน้ำท่วม มีประโยชน์อย่างมาก ในการทำนายพื้นที่เสี่ยงและระดับน้ำ โดยสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรับมือ
  • Jitasa.Care
    เชื่อมโยงเพื่อช่วยเหลือ จากเครื่องมือช่วยเชื่อมโยงผู้ป่วยโควิด 19 กับอาสาสมัคร ต่อมาในเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ Jitasa.Care ได้ช่วยเหลือด้วยการเชื่อมโยงผู้ประสบภัยน้ำท่วมและอาสาสมัครที่ตั้งใจจริง โดยเพียงกรอกระบุความต้องการ เจ้าหน้าที่จะเร่งจัดส่งความช่วยเหลือโดยเร็วในจุดที่ต้องการ เช่น เรือ อาหาร และยา
  • โดรน HORRUS
    วิเคราะห์เส้นทางเข้าถึงผู้ประสบภัย ARV หรือ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ร่วมมือกับสำนักบริหารบำรุงทาง กรมทางหลวง นำเทคโนโลยีอากาศยานอัตโนมัติไร้คนขับ HORRUS ลงพื้นที่สำรวจ วิเคราะห์เส้นทางช่วยเหลือ ฟื้นฟูทางหลวงให้เข้าถึงผู้ประสบภัยในเชียงราย และช่วยประชาชนให้กลับมาสัญจรได้โดยเร็ว


AI กับสถานการณ์ไฟป่าในเชียงใหม่

หนึ่งในจังหวัดที่พบการเกิดไฟป่าบ่อยที่สุดในไทยคือจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงในเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. 2568 ที่สถานการณ์ไฟป่านำไปสู่การออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อัคคีภัย ไฟป่า ในหลายพื้นที่ ซึ่งต่อมาทำให้พบว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้นำ AI มาใช้ปฏิบัติงานจริง ในการเฝ้าระวังและควบคุมไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยหลายตัวอย่างสำคัญ

  • ระบบ AI ฝึกทักษะแก่อาสาสมัครดับไฟป่า
    โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากโครงการวิจัยการพัฒนาระบบฝึกทักษะการดับไฟป่าสำหรับอาสาสมัครดับไฟป่า นำร่องดำเนินการในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่ โดยร่วมมือกับหลายหน่วยงาน และจะพัฒนาระบบให้ใช้งานได้กับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น แว่น VR และสมาร์ตโฟน ต่อไป
  • แอป AEROSky
    ป้องกันโดรนชนกันขณะช่วยดับไฟ วิทยุการบินแห่งประเทศไทย นำองค์ความรู้และนวัตกรรมมาใช้พัฒนาแอปพลิชัน AEROSky จัดระเบียบห้วงอากาศ รองรับการใช้งานอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน ในภารกิจสนับสนุนการป้องกันและการแก้ปัญหาไฟป่าเชียงใหม่ เนื่องจากมีการนำโดรนเข้ามาช่วยจำนวนมาก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยตามนโยบายรัฐและกระทรวงคมนาคม
  • ช้างไฟ
    เครื่องตรวจจับควันไฟส่งสัญญาณ Real Time โดยสถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นระบบการแจ้งเตือนด้วยการตรวจจับควันจากการเผา และส่งตำแหน่งพิกัดควันไฟ ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังระบบประมวลผลเพื่อประมวลความรุนแรงของควันไฟ และแสดงผลไปหน้าจอของผู้ใช้ ณ ศูนย์ควบคุมควบคุมไฟป่าแบบ Real Time

AI กับสถานการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพมหานคร

จากสถานการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในประเทศเมียนมา พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและเหตุการณ์อาคารถล่มในกรุงเทพมหานคร เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับช่วงที่ AI กำลังได้รับความนิยม นำไปใช้ในชีวิตประจำวันแพร่หลาย เช่นเดียวกับคนไทยที่รู้จักและคุ้นเคยกับคำว่า AI มากขึ้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้ทราบว่ามีการนำ AI เข้ามาใช้กู้วิกฤต ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และเพื่อเตรียมตัวไปจนถึงบรรเทาภัยหากเกิดเหตุการณ์นี้ในอนาคต

  • ทีมหุ่นยนต์ AI
    ช่วยผู้ประสบภัยหลังเหตุการณ์ หลังแผ่นดินไหว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ระดมงานวิจัยคนไทยเข้าช่วยค้นหาผู้รอดชีวิต เช่นเดียวกับหลายหน่วยงาน โดยส่งทีมหุ่นยนต์ iRAP Robot มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และหุ่นยนต์ตรวจการณ์เก็บกู้วัตถุระเบิดขนาดเล็ก D-EMPIR V.4 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครเข้าช่วยค้นหา ทำงานในพื้นที่ประสบภัย
  • แพลตฟอร์ม Traffy Fondue
    ประสานงานฉับไว นอกจากทีมหุ่นยนต์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ยังนำ Traffy Fondue ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แพลตฟอร์มดิจิทัลรับแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือออนไลน์เข้ามาใช้ ช่วยให้ข้อมูลส่งตรงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติได้ฉับไว ลดเวลาการประสานงาน โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงใช้ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ประเมินความเสียหาย
  • InSpectra-01
    ตรวจจับรอยร้าวโครงสร้างอาคาร ได้รวดเร็ว แม่นยำ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการประเมินความเสียหายของโครงสร้างได้ ด้วย InSpectra-01 ที่ทำงานร่วมกับ AI ผลงานของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพียงอัปโหลดภาพรอยร้าว ส่งเข้าลิงก์นี้ไว้ https://inspectra-o1.onrender.com/iimras/ เพื่อรับการประเมิน


AI กับสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศไทย

ภัยแล้งเป็นปัญหาที่ยากที่จะระบุขอบเขต แต่ส่งผลกระทบระยะยาวและในวงกว้าง สำหรับในประเทศไทยเองมีหลายพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวัง โดยจังหวัดที่ได้รับการเฝ้าระวังภัยแล้งเป็นอันดับต้น เช่น นครสวรรค์ เชียงใหม่

อุทัยธานี ชัยนาท ลำพูน ทั้งยังมีการคาดการณ์ว่ามีหลายจังหวัดที่มีอาจประสบภัยแล้งรุนแรงในช่วง 10 ปีข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้จึงสำคัญมากขึ้นทุกขณะ โดยมีหลายตัวอย่างเครื่องมือด้วยกันที่ประเทศไทยและคนไทยนำมาใช้งาน

  • ระบบ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม GISTDA
    ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อตรวจจับความชื้นในดิน พื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกที่ต้องเก็บข้อมูลต่อเนื่อง โดยสามารถแยกแยะพืชที่อุดมสมบูรณ์และพืชไม่สมบูรณ์ออกจากกัน ช่วยให้ภาครัฐสามารถวางแผนจัดสรรน้ำ เตือนภัยให้ประชาชนตั้งรับ ช่วยบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งล่วงหน้าได้
  • AI FONFA ระบบพยากรณ์อากาศชุมชน
    โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และเทศบาลตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ใช้เพื่อแจ้งเตือนภัย 3 ฤดู รวมถึงภัยแล้ง โดยเชื่อมชุมชนท้องถิ่นไทยกับ AI ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เฉพาะเจาะจงกับตำแหน่ง GPS ของผู้ใช้ ช่วยเพิ่มความแม่นยำ
  • ธนาคารน้ำใต้ดินจากเทคโนโลยี GIS
    โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สนับสนุนโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ GIS วิเคราะห์ข้อมูลแหล่งน้ำใต้ดินในชุมชนและสภาพภูมิประเทศ ช่วยวางแผนดำเนินงานธนาคารน้ำใต้ดินที่ช่วยให้มีน้ำใช้ในทุกฤดูกาล

‘ความปลอดภัยและความยั่งยืน’ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันการนำ AI มาใช้สนับสนุนประเด็นเหล่านี้จะช่วยให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตและสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เนื่องจาก AI สามารถเป็นตัวช่วยบรรเทาระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่ส่งผลต่อสุขภาพใจ สุขภาพกาย คุณภาพชีวิตของผู้คน เศรษฐกิจ และการแข่งของประเทศโดยรวม เราทุกคนจึงควรเตรียมพร้อม เรียนรู้เกี่ยวกับ AI ที่ช่วยรับมือกับภัยธรรมชาติและนำมาปรับใช้ในบริบทตนเอง ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในพื้นที่ ผู้ประกอบธุรกิจ หรือเกษตรกร ในขณะที่ภาครัฐเองมุ่งมั่นที่จะส่งเสริม ต่อยอด และพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถของ AI


อ้างอิง :

  • aifonfa.com
  • chiangmai.prd.go.th
  • engineeringtoday.net
  • gistda.or.th
  • greennetworkthailand.com
  • nstda.or.th
  • prachachat.net
  • radiochiangmai.prd.go.th
  • salika.co
  • techhub.in.th
  • techsauce.co
  • thansettakij.com
  • www.okmd.or.th/TheKnowledgevol.39

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI