อารีย์

บ้านโมเดิร์นย่านอารีย์

31 สิงหาคม 2023
|
849 อ่านข่าวนี้
|
0

บ้านโมเดิร์นย่านอารีย์

ถ้าจะพูดถึงอาคารสถานที่ที่มีความโดดเด่นและกลายเป็นความเทรนดี้ของย่านอารีย์ก็จะไม่พ้นบ้านยุคโมเดิร์นที่มีความหลากหลายในย่านนี้ เมื่อ 70 ปีที่เเล้ว

เเถบนี้คือย่านชานเมืองที่ยังเป็นทุ่งนาเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานของบรรดาชนชั้นกลางถึงสูง ทั้งข้าราชการเเละนักธุรกิจที่เพิ่งเริ่มกิจการ  เนื่องจากเเถวซอยราชครูต่อกับอารีย์มี นายห้างอีแอ็ม กาติ๊บ มากว้านซื้อที่ดินเเถบนี้เป็นร้อยไร่ เพื่อจัดสรรที่เเบ่งขายเป็นเเปลงย่อมๆพอให้ชนชั้นกลางยุคนั้นมีกําลังซื้อสร้างบ้าน และเเถบฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์ที่เชื่อมต่อซอยกาญจนาคมและซอยสายลม เลยลึกเข้าไปในซอยศุภราชก็มีการเเบ่งที่ขายให้บรรดาข้าราชการในยุคนั้นได้ซื้อสร้างบ้านไม่ไกลจากเเหล่งที่ทํางานมากนัก

เเม้ผู้เขียนจะไม่ได้เป็นคนย่านนี้มาตั้งแต่เกิด จริงๆ ก็เพิ่งย้ายมาอยู่ย่านนี้ได้ไม่ถึงปีเเต่ก็มีความคุ้นเคยกับย่านมาตั้งเเต่ตอนเป็นเด็ก ความที่คุณแม่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ตอนอายุราว 10 ขวบคุณเเม่ก็พามาเรียนเปียโนในซอยสายลมทุกวันเสาร์ คุณเเม่เป็นสมาชิกสหกรณ์พระนครปากซอยอารีย์ พอเรียนเปียโนเสร็จคุณเเม่ก็พาไปช้อปปิ้งจับจ่ายใช้สอยที่นั่น นอกจากนี้ยังได้เเวะเวียนเข้าไปเล่นกับลูกเพื่อนเเม่ในบ้านเพื่อนเเม่ที่อยู่เเถวนี้อยู่บ้าง   ตอนป.5 เข้าโรงเรียนสาธิตปทุมวัน เพื่อนอยู่บ้านในซอยราชครูก็มาเล่นบ้านนี้บ่อยๆ บ้านเหล่านี้ที่คุ้นเคยล้วนเป็นบ้านโมเดิร์นสร้างในยุค 60s ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์โปร่งโล่งอยู่สบาย สมัยก่อนไม่ต้องเปิดเเอร์เลย รู้สึกได้ถึงความทันสมัยในยุคนั้น

ที่มาของบ้านยุคนี้ก็เกิดจากการได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตก และการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีอาคารสมัยใหม่คือวัสดุคอนกรีตเสริมเหล็ก จากหนังสือ “บ้านในกรุงเทพฯ” โดยผุสดี ทิพทัสเเละมานพ พงศทัต กล่าวไว้ว่า มีการประยุกต์เเนวทางของกลุ่มสถาปนิกผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมยุคใหม่ (Modern Architecture) จากยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งเริ่มตระหนักในความงามแบบตรงไปตรงมาของรูปทรงอาคารโดยยึดเเนวทางจากรูปทรงเรขาคณิตและตัดสิ่งตกเเต่งประดับอาคารออกให้เหลือเเค่รูปทรงอาคารเป็นรูปลูกบาศก์ เริ่มมีการใช้วัสดุเบาเช่น เหล็ก กระจกใส เเละผนังเรียบเน้นความสัมพันธ์ของรูปทรง พื้นผิว เเละเส้นตรงของส่วนประกอบอาคาร ในช่วงยุค 50s เเละ 60s นับเป็นช่วงที่รูปแบบของบ้านพักอาศัยในกรุงเทพฯ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากสถาปัตยกรรมก่อนหน้าในยุคโคโลเนียล และยังมีความเกี่ยวพันกับระบบการปกครองเศรษฐกิจเเละสังคม การแบ่งชั้นของสังคมในระบอบประชาธิปไตยและสภาพเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนมาเป็นการเเบ่งตามรายได้ของประชาชน ซึ่งเเบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้เเก่ กลุ่มผู้มีรายได้สูง กลุ่มมีรายได้ปานกลาง และกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ กลุ่มผู้มีรายได้สูงทั่วไปมักนิยมปลูกบ้านเดี่ยวในเนื้อที่ขนาดใหญ่ ตัวอาคารมักมีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลตะวันตก โดยจ้างสถาปนิกชาวต่างชาติหรือสถาปนิกไทยที่สําเร็จการศึกษาสถาปัตยกรรมเป็นผู้ออกแบบ ส่วนผู้มีรายได้ปานกลางทั่วไปมักอยู่บ้านเดี่ยวขนาดเล็กลงมา ในที่ดินไม่กว้างมากนัก ซึ่งเป็นบ้านส่วนใหญ่ของย่านฯนี้ ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง รายได้ปานกลางที่รับราชการหรือเพิ่งเริ่มธุรกิจ อาจมีการจ้างสถาปนิกที่จบการศึกษาสถาปัตยกรรมในประเทศ หรือไม่ก็ใช้เเบบในเเคตตาล็อกของบริษัทการช่างรับสร้างบ้านต่างๆ ที่ไม่ต้องเสียค่าแบบเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย รูปแบบของบ้านมีการประยุกต์จากสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์นของตะวันตกให้เข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศและการใช้สอยเเบบไทยๆ เช่น มีการเเยกเรือนครัวไฟออกจากตัวบ้านใหญ่ การทําแผงกันเเดด และชายคาที่ยื่นยาวออกมากันฝนสาด บ้านไหนมีสถาปนิกออกแบบอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ได้เเสดงให้เห็นการเเก้ปัญหาในเรื่องการจัดเนื้อที่ใช้สอย การจัดวางตําเเหน่งอาคารให้ถูกต้องตามทิศทางมีการคํานึงถึงความสะดวก ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะรวมทั้งมีรูปแบบที่สนองต่อสภาพดินฟ้าอากาศของไทยด้วย แบบบ้านเหล่านี้ได้ถูกนําไปใช้ก่อสร้างกันอย่างเเพร่หลาย

ในปัจจุบันบ้านโมเดิร์นย่านฯ ยังคงมีอยู่หลายหลัง นอกจากจะยังคงเป็นย่านพักอาศัยหนาเเน่นปานกลางของชนชั้นกลางที่อยู่มาเเต่เดิม ยังมีบ้านเช่าที่เป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติที่ชื่นชอบวิถีชีวิตที่มีความฮิป มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหารอร่อย ๆ และยังมีกลุ่ม active citizen ที่ลุกขึ้นมาทํากิจกรรมยกระดับคุณภาพชีวิต ท้ายซอยยังมีพื้นที่สีเขียวของราชการที่สามารถไปเดินเล่นได้ เเละชาวย่านฯ ก็ยังมีความหวังที่ว่าภาครัฐจะเปิดโอกาสให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์หลายรูปแบบให้ ”ชาวอารีเนียน” ได้ร่วมกันทําให้ย่านฯ น่าอยู่ยิ่งขึ้น

นอกจากที่เล่ามาให้ฟังตั้งเเต่เรื่องความคุ้นเคยในวัยเด็กที่ได้วิ่งเล่นในบ้านโมเดิร์นของผู้เขียน มาจนถึงที่มาของบ้านยุคโมเดิร์นที่กลายเป็นเทรนด์มีการปรับเปลี่ยนการใช้สอยของบ้านมาเป็นร้านอาหารเเละคาเฟ่สุดชิคหลายหลัง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนซึ่งเป็นสถาปนิกและนักอนุรักษ์สถาปัตยกรรมคนนี้ ยังได้มีโอกาสออกแบบรีโนเวทบ้านโมเดิร์น 2-3 หลังในซอยอารีย์เเละซอยศุภราช จึงอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ในการปรับปรุงบ้านยุคนี้ ซึ่งเมื่อ 60-70 ปีก่อน ถือว่าเดิร์นสุดๆ มายุคนี้มีข้อด้อยหรือจุดอ่อนสําหรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในยุคโพสต์มิลเลเนียมอย่างไรบ้างและมีวิธีกําจัดจุดอ่อนได้อย่างไร จะขอยกตัวอย่างบ้าน 2 หลัง


บ้านหลังเเรกเป็นบ้านข้าราชการ 2 ชั้นขนาดย่อมยุค 50s ระบบการก่อสร้างชั้นล่างเป็นเสาคานพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังก่ออิฐฉาบปูน ชั้น 2 เป็นเสาไม้ ผนังปูนบางและเบามากตรงกลางเสริมด้วยตะเเกรงเหล็ก ตั้งแต่รีโนเวทบ้านมาหลายหลัง เพิ่งเห็นผนังปูนเสริมเหล็กตะเเกรงแบบนี้ เลยขอให้ทางเจ้าของบ้านเปลือยผนังส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งไว้โชว์ให้เพื่อนๆดู โดยทํากรอบกระจกใสปิดไว้พื้นไม้วางบนคานตรงไม้ เจ้าของบ้านซึ่งเห็นคุณค่าของบ้านยุคนี้ได้รับมรดกจากคุณน้าซึ่งไม่มีลูก  อยากให้รีโนเวทเพื่อสนองตอบกับความต้องการวิถีชีวิตสมัยปัจจุบัน และเเจ้งจุดอ่อนของบ้านนี้ ซึ่งมีหลายประการด้วยกัน อาทิ พื้นบ้านต่ำกว่าถนนหน้าบ้าน ทําให้น้ำเข้ามาในบ้านเวลาฝนตกหนัก เพดานเตี้ย ห้องเเคบ ไม่มีห้องรับแขกขนาดใหญ่  บ้านเล็กห้องไม่พอกับความต้องการ วิธีกําจัดจุดอ่อนของบ้านนี้ ก็คือการดีดยกบ้านให้สูงขึ้นจากพื้นเดิมที่ต่ำกว่าถนนภายนอกบ้าน 1.80 เมตร เพื่อเเก้ปัญหาน้ำเข้าบ้าน และเจ้าของบ้านอยากให้

ส่วนปัญหาเพดานเตี้ยก็มีการต่อเสาคอนกรีตชั้นล่างให้สูงดูโล่งขึ้น ชั้นบนก็ทําเช่นเดียวกัน ส่วนความคับเเคบของห้องต่างๆในบ้านเดิม ไม่สามารถปรับเป็นห้องรับเเขกขนาดใหญ่ได้ จึงมีการต่อเติมด้านหน้าบ้านที่เคยเป็นชายคา drop off ที่ยื่ยกให้สูงขึ้นเเละขยายออกมาเป็นห้องรับเเขกขนาดใหญ่ ดูหรูหราสําหรับรับรองแขกผู้ใหญ่ที่มาเยือน เเถมในการก่อสร้างส่วนต่อเติมใหม่นี้ ทําให้สามารถตอบโจทย์อีกโจทย์หนึ่ง ที่เป็นความใฝ่ฝันของเจ้าของบ้าน ที่จะมีโฮมเธียเตอร์ที่ชั้นใต้ดินต่อมาจากห้องใต้ดินเดิมขนาดเล็กจิ๋วอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการต่อเติมไปทางด้านหลังเป็นห้องลิฟวิ่งใหม่ หลังคาเเฟลตสเเลบของห้องนี้กลายเป็นเทอเรสชั้นบนเชื่อมกับห้องนอนใหญ่ ให้เจ้าของออกมานั่งเล่นชมจันทร์และดูดาวได้ อีกการปรับปรุงบ้านครั้งนี้ได้เเปลงโฉมให้บ้านโมเดิร์นหลังเล็กของชนชั้นกลางในยุค 50s กลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้มีรายได้สูงสมฐานะในยุคปัจจุบัน เพื่อเคารพความเป็นส่วนตัวของท่านเจ้าของบ้าน ผู้เขียนขอไม่ออกนามและสถานที่แต่ก็ขออนุญาตนํามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อท่านใดที่ได้ครอบครองบ้านยุคนี้อยู่ อาจจะเห็นคุณค่าอนุรักษ์บ้านยุคนี้ไว้ แถมปรุงใหม่ให้เหมาะกับตนในยุคปัจจุบันและเป็นมรดกร่วมสมัยทรงคุณค่า ให้รุ่นลูกรุ่นหลานสืบทอดประวัติศาสตร์ 3 มิติของบรรพบุรุษสืบต่อไปเเทนการทุบทิ้ง ให้เสียของเปลืองทรัพยากรในการรื้อสร้างใหม่ เเละต้องไประเบิดภูเขาเพื่อมาทําคอนกรีตสร้างบ้านหลังใหม่ที่ตกเทรนด์ตั้งแต่วิธีคิดเเล้ว
บ้านหลังที่ 2 เป็นบ้านโมเดิร์น 2 ชั้นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กของข้าราชการยุค 60s ที่เป็นสถาปนิกออกแบบเอง หลังนี้ไม่ใหญ่นัก บนพื้นที่ดินขนาดย่อม

เจ้าของปัจจุบันซึ่งเป็นหลานปู่ของเจ้าของบ้านคนเเรก ได้รับมรดกตกทอดมาจากคุณพ่อ

 

เธอมีความทรงจําในวัยเด็กที่ไม่ค่อยปลื้มกับบ้านนี้นัก จนอยากรื้อทิ้งสร้างใหม่ ด้วยความคับเเคบของห้องเพดานเตี้ย หน้าต่างน้อยไปแสงไม่ค่อยเข้าบ้าน ทําให้เกิดความรู้สึกอึดอัดคับแคบ ผู้เขียนได้รับโจทย์ให้มีการรื้อบ้านเก่าทิ้ง เเละออกเเบบบ้านหลังใหม่ที่ตอบโจทย์เจ้าของบ้าน ที่จะทําบ้าน 2 ชั้นเป็น 2 ส่วนเเยกกันอย่างชัดเจน ชั้นล่างเป็นบ้านคุณพ่อคุณเเม่ที่อายุมากและของเยอะ มีครัวเปิด ห้องนอนใหญ่ ห้อง walk in closet ใหญ่มาก มีสวนให้ออกไปนั่งเล่น outdoor เเละที่ทํางานพร้อมพื้นที่ทํางานของเลขาฯ เพราะคุณพ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เกษียณอายุ เเต่ยัง active มาก เเละยังมีคนไปมาหาสู่ตลอดเวลา ส่วนชั้นบนเป็นบ้าน เจ้าของที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และมีทางเข้าต่างหาก ที่ขึ้นบันไดจากภายนอกโดยไม่มีบันไดเชื่อมต่อภายในระหว่าง 2 หลัง ความที่เป็นบ้านยุคโมเดิร์นทรงคุณค่า ผู้เขียนรู้สึกเสียดายบ้านแทนครอบครัวไม่อยากให้รื้อสร้างใหม่ จึงต้องทําการศึกษาเพื่อพิสูจน์ว่า หากไม่รื้อทิ้ง บ้านนี้ก็ยังตอบโจทย์วิถีชีวิตสมัยใหม่ และความต้องการของเจ้าของใหม่นี้ได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถประหยัดค่าก่อสร้าง ทั้งค่ารื้อถอน และตอกเข็มทําโครงสร้างใหม่ โชคช่วยที่บ้านหลังนี้สร้างอยู่บนที่ดินที่เเคบมาก มีพื้นที่แค่ราวไม่ถึง 70 ตารางวา ตัวบ้านเดิมสร้างเกือบชิดรั้วทุกด้านเนื่องจากเคยมีการต่อเติมไปบ้างแล้ว

 

เมื่อศึกษาโครงการตามประโยชน์ใช้สอยที่ได้รับโจทย์มา เปรียบเทียบการอนุรักษ์บ้านเก่าไว้กับการออกแบบสร้างบ้านใหม่ปรากฎว่า หากสร้างบ้านใหม่จะเจอข้อจํากัดของกฎหมายอาคารสมัยนี้ ที่ต้องมีระยะ set back จากเขต จะทําให้พื้นที่ใช้สอยของบ้านน้อยลงกว่าที่จะเก็บบ้านเดิมไว้ ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงบ้านเดิมถูกกว่าการสร้างใหม่ เเละใช้เวลาน้อยกว่ามาก

นอกจากนี้ผู้เขียนยังสัญญากับเจ้าของบ้านว่าจะกําจัดจุดอ่อนทุกจุดของบ้าน ให้เจ้าของได้บ้านในฝันของเธออีกด้วย เธอจึงตัดสินใจเชื่อผู้เขียน โดยบ้านหลังนี้รอดพ้นจากการถูกรื้อทิ้งและได้รับการออกแบบปรับปรุงแปลงร่างจากบ้านคุณปู่ ที่ภายนอกดูสวยแต่ภายในคับแคบอึดอัดเเสงเข้าน้อยในสายตาคนสมัยนี้ ให้กลายเป็นอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ 2 หลังที่มี living-dining และ open kitchen ต่อเนื่อง เป็น open space ที่กว้างขวาง ติดหน้าต่างรอบบ้านยาวถึงพื้น โดยไม่ต้องกลัวฝนสาด เพราะโครงบ้านภายนอกที่ออกแบบโดยคุณปู่เจ้าของซึ่งเป็นสถาปนิกไทยที่มีชื่อเสียง ท่านได้ออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศเเบบร้อนชื้น ไว้อย่างถูกหลักวิชาการออกแบบที่ดี

เเม้ชั้นล่างไม่ได้มีการดีดบ้าน เพื่อเพิ่มความสูงและเพื่อประหยัดงบประมาณก่อสร้าง แต่ก็มีการปรับยกหลังคาให้สูงขึ้น เปิดช่องเเสงธรรมชาติด้านข้างให้ส่องลงมาในส่วน dining ที่เชื่อมต่อกับส่วน open kitchen

ส่วนชั้นบน ถูกพลิกโฉมจากพื้นที่ใช้สอยที่เเคบและอับทึบ ให้กลายเป็นบ้านเพดานสูงโปร่งสไตล์ลอฟท์ทันสมัย ตามความฝันของเจ้าของบ้าน และได้สร้างความปลาบปลื้มให้ครอบครัวญาติพี่น้องที่ได้เคยพักอาศัยในบ้านหลังนี้ ที่ได้เห็นมรดกทรงคุณค่าถูกใช้สอยสืบต่อถึงรุ่นถัดไป

เล่ามาตั้งนานจนมาถึงตอน happy ending สําหรับทุกคนแล้ว คนอ่านก็คงอยากรู้ว่าบ้านนี้เป็นบ้านของใครกันนะ น่าสนใจจัง ผู้เขียนจึงขอเผยตัวละครต่าง ๆ ของ เรื่องราวนี้ว่าใครเป็นใคร

“คุณปู่”เจ้าของบ้านที่ออกแบบเเละสร้างบ้านหลังนี้ คือศาสตราจารย์พลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ปูชนียบุคคลด้านสถาปัตยกรรมไทย ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) ประจําปี 2529 และราชบัณฑิตสํานักศิลปกรรมประเภทสถาปัตยศิลป์ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยศรีปทุม อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และอดีตนายกสมาคมสถาปนิกสยาม เป็นผู้มีผลงานทางด้านสถาปัตยกรรม และผลงานวิชาการงานเขียนมากมาย “คุณพ่อ” ก็คือ คุณกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ “คุณแม่” คือ คุณจินตนา ภิรมย์ หรือพี่เเต๋ว ที่ทุกคนรู้จักดี และท้ายที่สุด คนสําคัญที่ขาดไม่ได้ในเรื่องนี้คือ “เจ้าของบ้าน” คุณเเพร ภิรมย์ ทายาทสาวของคุณปู่สมภพ และคุณพ่อกษิตนี่เอง


เล่ามาซะยืดยาวผู้เขียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บ้านโมเดิร์นย่านอารีย์ที่ถูกออกแบบให้มีความทันสมัยเมื่อ 60-70 ปีที่เเล้ว ที่มีความเเข็งเเรงทางโครงสร้างในช่วงรุ่งอรุณเเห่งการใช้วัสดุคอนกรีตเสริมเหล็ก ทําโครงสร้างแบบเสาคานต้นแบบของการก่อสร้างในยุคปัจจุบัน ที่ได้รับการออกแบบทั้งโครงสร้างและสถาปัตยกรรมอย่างดีเหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศแบบบ้านเรา มีความคลาสสิคไม่ตกยุคเเถมยังกลายเป็นเทรนด์ของการออกแบบบ้านในยุคนี้ จะไม่ถูกละเลย ทําให้ด้อยค่าเเละถูกรื้อทําลายไปอย่างน่าเสียดาย แล้วได้รับการปรับโฉมให้คงคุณค่า เเละสนองตอบกับความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน เเละเป็นมรดกของย่านอารีย์เพื่อส่งต่อให้คนในยุคต่อไป

องค์ความรู้ใกล้เคียง
ดูองค์ความรู้ทั้งหมด
ร้านส้มตำเหนือ
01 กันยายน 2023
274 0
บ้านสวนไผ่
01 กันยายน 2023
268 0
0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI