'ดิจิทัลโนแมด' (Digital nomad) คือแรงงานรับจ้างอิสระ (Freelance) หรืออาจเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่สามารถทำงานทางไกลผ่านทางระบบออนไลน์ มีอิสระจากข้อจำกัดทางด้านเวลาและสถานที่ ส่วนใหญ่ทำอาชีพที่มีรายได้สูง เช่น อีคอมเมิร์ซ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ออกแบบกราฟิก วิเคราะห์ข้อมูล สื่อสารการตลาด ฯลฯ มักทำงานตามร้านกาแฟ สำนักงานเช่าชั่วคราว และพื้นที่ทำงานร่วมกัน (Co-working Space)
กลุ่มคนเหล่านี้มักออกจากประเทศของตนเพื่อไม่ต้องชำระภาษีเงินได้ในอัตราสูง พร้อมกันนั้นก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวหาความบันเทิงและที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง คล้ายกับเป็น 'ชนเผ่าเร่ร่อนในยุคดิจิทัล'
ดิจิทัลโนแมดมักเลือกอยู่ในพื้นที่ที่สามารถติดต่อสมาคมกับผู้อื่นได้ง่ายและค่าครองชีพไม่สูงมากนักแต่ต้องมีสาธารณูปโภคที่ดี
ทั้งการคมนาคม ร้านกาแฟ หรือพื้นที่ทำงานร่วมกัน
ส่วนใหญ่แล้วดิจิทัลโนแมดจะเลือกประเทศที่ให้สิทธิ์ยกเว้นใบอนุญาตเข้าเมืองหรือมีค่าธรรมเนียมไม่สูง
แต่มีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้หากประเทศหรือเมืองใดที่ดิจิทัลโนแมดลองมาใช้ชีวิตแล้วเกิดความถูกใจ
ก็มักจะบอกต่อชวนกันเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มด้วย
ก่อนการระบาดของโควิด-19
พบว่าจังหวัดเชียงใหม่ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของดิจิทัลโนแมดจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในทุกปี
เว็บไซต์ Nomad List ชุมชนออนไลน์ที่เป็นพื้นที่แบ่งปันข้อมูลระหว่างกันและกันของชาวดิจิทัลโนแมดจัดอันดับให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยในอันดับที่
12 (ณ ช่วงต้นปี 2565) โดยก่อนหน้านี้ จังหวัดเชียงใหม่เคยติดอันดับต้นๆ
เมืองน่าอยู่ของชาวดิจิทัลโนแมดมาแล้วหลายครั้งด้วย
ในปี 2562 กลุ่มผู้ประกอบการเชียงใหม่ (Chiang Mai
Entrepreneurship Association : CMEA) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านไมซ์
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สำรวจผลทางเศรษฐกิจจากดิจิทัลโนแมดในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า
กลุ่มดิจิทัลโนแมดเดินทางเข้ามาทำงานในเชียงใหม่ตั้งแต่ปี 2557
และเข้ามามากที่สุดในปี 2560 ส่วนใหญ่นิยมเดินทางเข้ามาในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนตุลาคม-มกราคม
ระหว่างปี 2557-2562
ประมาณการว่า
มีกลุ่มดิจิทัลโนแมดเดินทางเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ในเชียงใหม่มากกว่า 30,000 คน
ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกามากที่สุด รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส
เนเธอร์แลนด์ และอื่นๆ ตามลำดับ
อายุของคนทำงานกลุ่มนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 30-44 ปี
มักจะทำงานด้านซอฟต์แวร์ การตลาด-โฆษณา การเงิน กฎหมาย และทำธุรกิจ
มีรายได้เฉลี่ย 50,000-100,000 บาท มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละกว่า 35,000
บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวอีกต่างหากเฉลี่ยปีละกว่า
200,000 บาทเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ในงานศึกษาของ 'ชลธิชา วิมลชัยฤกษ์' เรื่อง
'พื้นที่ของกลุ่มคนดิจิทัลโนแมด ในมิติการอยู่อาศัย การทำงานและการพักผ่อนหย่อนใจ
(LIVE WORK PLAY) กรณีศึกษาพื้นที่เมืองเชียงใหม่' วิทยานิพนธ์สถาปัตยกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2562
ที่ศึกษากลุ่มดิจิทัลโนแมดที่เข้าไปในเมืองเชียงใหม่ช่วงเดือนกันยายน
2562-มิถุนายน 2563 พบข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ
ดิจิทัลโนแมดส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมายังเชียงใหม่
มีแบบแผนการเดินทางที่ชัดเจน โดยจะเดินทางเฉลี่ย 3-5 ประเทศต่อปี
จุดประสงค์แรกเริ่มในการเดินทางมายังเชียงใหม่
เพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยเชียงใหม่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหาร
คนพื้นถิ่นที่เป็นมิตร วัฒนธรรม
รวมถึงเป็นเมืองที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ดิจิทัลโนแมด โดยการแนะนำ
ชักชวน รีวิวจากสื่อสังคมออนไลน์
และเว็บไซต์ที่มีการจัดอันดับเมืองที่น่าอยู่สำหรับดิจิทัลโนแมด
ส่วนใหญ่แล้ว
ดิจิทัลโนแมดที่ศึกษา ได้เลือกเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองจุดหมายปลายทางอันดับ 1-3
โดยกลุ่มดิจิทัลโนแมดที่เข้ามาอยู่ระยะสั้น มักจะใช้เชียงใหม่เป็น
'ฐานที่ตั้งเก็บสัมภาระ' เพื่อเดินทางไปยังเมืองหรือจังหวัดใกล้เคียง
ส่วนกลุ่มดิจิทัลโนแมดกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่เป็นระยะเวลานานกว่านั้น
มองว่าเชียงใหม่มีศักยภาพในการเป็น 'ฐานหรือเมืองหลักในการพำนัก'
แม้จะมีการออกเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ อยู่บ้าง นอกจากนี้ ยังมองว่าเหมาะสมแก่การลงหลักปักฐานในการใช้ชีวิตในอนาคต
และบางส่วนมีความประสงค์ที่จะตั้งรกรากในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ในอนาคตเลยทีเดียว
เนื่องจากงานศึกษาชิ้นนี้ เป็นงานศึกษาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์
ที่สำรวจและวิเคราะห์กายภาพแวดล้อมที่กลุ่มคนดิจิทัลโนแมดใช้อยู่อาศัย ทำงาน
และการพักผ่อนหย่อนใจในจังหวัดเชียงใหม่
พบว่าตำแหน่งที่ตั้งของกายภาพแวดล้อมพื้นที่พักอาศัย พื้นที่ทำงาน
และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ล้วนแล้วแต่กระจุกตัวในตัวเมืองเชียงใหม่
สามารถแบ่งได้เป็น ย่าน
1.
นิมมานเหมินทร์
- ย่านท่องเที่ยว ค่าครองชีพสูง มีชาวต่างชาติอยู่ในพื้นที่ปริมาณมาก
2.
เมืองเก่า - ย่านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โบราณสถาน
3.
เจ็ดยอด
- ย่านชุมชน ราคาย่อมเยา การสัญจรในย่านใช้การเดินเท้าเป็นหลัก
และใช้รถจักรยานยนต์และจักรยานในการเดินทางไปพื้นที่ภายนอก หรือระหว่างย่าน
ในมิติการอยู่อาศัยนั้น
พบว่าดิจิทัลโนแมดใช้ที่อยู่อาศัยลักษณะชั่วคราว ไม่มีการจับจองถาวร
ใช้พื้นที่พักอาศัยเพื่อการหลับนอนเป็นหลัก ซึ่งเกิดจากวิถีชีวิตการอยู่อาศัยของชนชาติตะวันตกที่มีพฤติกรรมไม่ถือครองสินทรัพย์ที่พักอาศัยถาวร
แต่จะเลือกเป็นการเช่าอาศัย นอกจากนี้
กลุ่มคนดิจิทัลโนแมดส่วนใหญ่เป็นชนชาติตะวันตก ซึ่งมี 'ระยะห่างส่วนบุคคล'
น้อยกว่าชนชาติตะวันออก ทำให้สามารถใช้งานพื้นที่พักอาศัยร่วมกับบุคคลอื่นได้
ดังนั้นพื้นที่พักอาศัยที่เหมาะสมต้องเอื้ออำนวยแก่การปรับใช้งานพื้นที่ร่วมกับบุคคลอื่นได้
เช่น โฮสเทล (Hostel) โคลีฟวิ่งสเปซ (Co-Living Space) ไปจนถึง โฮมสเตย์
(Homestay) เป็นต้น
นอกจากนี้ในพื้นที่พักอาศัยต้องมีความเป็น
'ชุมชนชาวดิจิทัลโนแมด' ซึ่งมีรูปแบบวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
ต้องเอื้อแก่ประกอบกิจกรรมและการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในที่พักอาศัยการอยู่รวมกัน
หรือในพื้นที่ เช่น สวน ลานกิจกรรม พื้นที่ส่วนกลาง
ไปจนถึงห้องอเนกประสงค์เพื่อประกอบกิจกรรม
และในด้านมิติการทำงานนั้น เนื่องจากดิจิทัลโนแมดเลือกปฏิเสธแนวความคิดการทำงานในรูปแบบเดิม
ทำให้ไม่มีพื้นที่ทำงานถาวร
สามารถทำงานที่ไหนก็ได้โดยอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี
ระบบอินเทอร์เน็ต แต่ท้ายที่สุดแล้ว
เมื่อห่างหายจากสถานที่ทำงานและวัฒนธรรรมองค์กร
อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดถอยลง ดังนั้นดิจิทัลโนแมดจึงต้องการสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงาน
ทำให้บรรยากาศน่าทำงาน กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
แต่ก็ต้องทำให้เกิดสมาธิในการทำงาน รวมไปถึงการทำงานร่วมกับผู้อื่น เช่น
พื้นที่ทำงานแบบเปิดโล่ง (Open Space) ที่เป็นส่วนของพื้นที่ทำงานร่วมกัน
(Co-Working Space) นอกจากนี้พื้นที่ทำงานจะต้องยืดหยุ่น
สามารถปรับเปลี่ยนหมุนเวียนได้ทั้งการทำงานที่หลากหลายรูปแบบและประกอบกิจกรรมร่วมกัน
งานศึกษาชิ้นนี้ได้เสนอแนวทางการปรับตัวของเมืองเชียงใหม่
เพื่อรองรับผลประโยชน์ที่เกิดจากการเข้ามาของกลุ่มคนดิจิทัลโนแมด
โดยแนวทางเชิงกายภาพนั้น
เสนอให้ธุรกิจที่พักอาศัยในเชียงใหม่ควรเผื่อพื้นที่สำหรับรองรับการประกอบกิจกรรมร่วมเพื่อเสริมสร้างความเป็นกลุ่มสังคมของผู้พักอาศัย
อีกทั้งยังควรมีพื้นที่เชื่อมต่อกับภายนอกและพื้นที่สีเขียว
สำหรับธุรกิจให้บริการพื้นที่ทำงาน
ควรเผื่อพื้นที่เพื่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่น
ส่วนธุรกิจพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ควรมีพื้นที่สนับสนุนการพบปะ
และก่อให้เกิดการสร้างปฏิสัมพันธ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการหยุดแวะพักและใช้บริการ
จังหวัดเชียงใหม่
ควรสร้างทางเดินเท้าที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่าในชุมชนเมืองและโบราณสถาน
นอกจากนี้
ภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนหรือผลักดันผู้ประกอบธุรกิจพื้นที่ทำงานร่วมกันให้มากขึ้นกว่าเดิม