ข้อมูลจากกรมการแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2557 ระบุว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ปฏิบัติงานในเมือง
มีแนวโน้มเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติเคยประเมินไว้ในปี
2557 ว่า อาจสร้างให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากถึง 1.1 แสนล้านบาทต่อปี
คิดเป็นมูลค่าการสูญเสียมากถึง 38,820 บาทต่อปีต่อคน
โดยวัดจากจำนวนผู้ป่วยนอกที่รักษาอาการเกี่ยวกับโครงร่างกล้ามเนื้อ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน
‘คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล’ ทั้งแบบตั้งโต๊ะ (Desktop) และแบบวางตัก (Laptop)
คือเครื่องมือทุ่นแรงที่สำคัญลำดับต้นๆ ในการทำงานยุคใหม่
ที่องค์กรทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจต่างๆ ต้องมีไว้ให้พนักงานใช้ทำงาน
มีประมาณการปี 2564 มีการส่งมอบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องใหม่ให้กับผู้ใช้ทั่วโลกถึง
349 ล้านเครื่อง ขยายตัว 14.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบปี 2563
แม้ว่าการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์จะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กร
แต่การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ที่ส่วนใหญ่ผู้ใช้มักจะอยู่ในท่าเดิมๆ ติดต่อกันนานๆ
สร้างปัญหาสุขภาพของคนทำงานยุคใหม่ ซึ่งเรามักเรียกกันว่า ‘ออฟฟิศซินโดรม’
(Office Syndrome) ที่ทำให้เกิดการปวดกล้ามเนื้อบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น
คอ บ่า ไหล่ สะบัก และหลัง อาการทางระบบประสาทที่ถูกกดทับ เช่น
อาการชาบริเวณแขนและมือ รวมถึงอาการอ่อนแรงหากมีการกดทับเส้นประสาทนานจนเกินไป
นอกจากนี้ การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ยังส่งผลที่เรียกว่า
'คอมพิวเตอร์วิชันซินโดรม' (Computer Vision Syndrome) ซึ่งเป็นอาการที่ดวงตาของคนเราต้องปรับโฟกัสภาพใหม่อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สมองประมวลผลภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์
ในระหว่างนี้ กล้ามเนื้อดวงตาจึงต้องทำงานอย่างหนัก ส่งผลให้มีอาการตาล้า ตาพร่า
ตาแห้ง ระคายเคืองตา เจ็บตา ปวดศีรษะ และปวดไหล่ เป็นต้น
อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในออฟฟิศเท่านั้น
มันยังตามมาหลอกหลอนที่บ้านด้วย โดยเฉพาะช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่
‘การทำงานทางไกล’ (Telework) อย่าง ‘การทำงานที่บ้าน’ (Work from Home)
เป็นมาตรการที่ทั่วโลกนำมาใช้
คนทำงานต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านแทนออฟฟิศ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน
โดยจากรายงาน new technical brief on healthy and safe teleworking
อันเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
(ILO) ที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เตือนว่า การทำงานทางไกล
อาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เพราะคนทำงานแยกตัวโดดเดี่ยว
เกิดความเหนื่อยหน่าย มีอาการซึมเศร้า เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูก
ปวดตา และการนั่งและหน้าจอเป็นเวลานานอาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วนด้วย เป็นต้น
งานศึกษาพนักงานออฟฟิศไทยกับอาการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
แม้จะไม่ได้มีปัจจัยเรื่องโควิด
แต่การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์สร้างปัญหาออฟฟิศซินโดรมมานานแล้ว จากงานศึกษาเรื่อง
'ปัจจัยที่ส่งผลให้พนักงานออฟฟิศทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานและเป็นโรค ‘คอมพิวเตอร์ซินโดรม' โดย 'ธันยวงศ์
เศรษฐ์พิทักษ์' การค้นคว้าอิสระตามหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2558 ที่ศึกษาพนักงานออฟฟิศ 420 คน ในกรุงเทพฯ
ระหว่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2559 ระบุว่า
กลุ่มอาการเจ็บป่วยจากการทำงานสำนักงาน หรือ 'ออฟฟิศซินโดรม' (Office Syndrome)
คือ ลักษณะอาการบาดเจ็บสะสมที่เกิดจากการมีพฤติกรรมท่าทางการทำงานในอิริยาบถเดิมๆ
ของผู้ปฏิบัติงานเป็นระยะเวลานาน มีความเครียดประกอบจากการทำงาน
และสภาพแวดล้อมจากการทำงานไม่เหมาะสม
‘อาการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์’ จะแสดงอาการออกมาในสองลักษณะ คือ 1. อาการเจ็บป่วยสะสม คือ การเจ็บป่วยสะสมของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกตึง ชา เกร็งจนกลายเป็นอาการเรื้อรัง รวมทั้ง ความเครียดจากการทำงาน จะส่งผลต่อการอักเสบของกล้ามเนื้อมากขึ้น และ 2. อาการเมื่อยล้าบริเวณดวงตา (Computer Vision Syndrome) คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดขึ้นจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ผู้เจ็บป่วยมักรู้สึก แสบตา ปวดตา เมื่อยตา มองภาพไม่ชัดเจน
ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเกิดความรู้สึกไม่สะดวกสบาย
ยากต่อการเคลื่อนไหว ทรมานในการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว
และสามารถเรื้อรังไปสู่โรคอื่นๆ ตามมาได้
โดยปัจจุบันสามารถพบเห็นผู้เจ็บป่วยที่มีอาการดังกล่าวได้บ่อยครั้งขึ้นในกลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานในออฟฟิศ
เนื่องมาจากมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการปฏิบัติงานเกือบตลอดทั้งวัน
สังเกตได้จากแนวโน้มของชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มสูงขึ้น
แม้ว่าตามกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานปี 2551 มาตรา 23
ของประเทศไทยได้มีการกำหนดจำนวนชั่วโมงของการทำงานสำหรับงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต้องไม่เกินวันละ
7 ชั่วโมง และสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 42 ชั่วโมง แต่จากสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าระหว่างปี
2547-2557 พบว่าคนไทยทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ถึง 71.6-73.3
เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
งานศึกษานี้ยังระบุว่า
สำนักงานสถิติแห่งชาติเคยสำรวจเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ของผู้ปฏิบัติงานภายในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในปี
2553 พบว่ามีผู้ปฏิบัติงานถึง 60 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400
คน มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดศีรษะ และอาการอักเสบของเส้นประสาท
ซึ่งเกิดจากการกดทับของข้อมือ
เป็นผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ถึงวันละ 7 ชั่วโมง
การมีสภาวะเครียดและมีพฤติกรรมการนั่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์
(Ergonomics)
ข้อมูลจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
พบจำนวนผู้ป่วยนอกที่มีอาการโครงร่างกล้ามเนื้อ (WMSDs)
จากการทำงานทั่วประเทศในปี 2546 มีจำนวน 9.8 ล้านคน ล่วงมาในปี 2555
เพิ่มจำนวนเป็น 20 ล้านคน
นอกจากนี้ข้อมูลจากกรมการแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2557 ระบุว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ปฏิบัติงานในเมือง
มีแนวโน้มเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติประเมินไว้ในปี 2557
ว่าอาจสร้างให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากถึง 1.1 แสนล้านบาทต่อปี
คิดเป็นมูลค่าการสูญเสียมากถึง 38,820 บาทต่อปีต่อคน
โดยวัดจากจำนวนผู้ป่วยนอกที่รักษาอาการเกี่ยวกับโครงร่างกล้ามเนื้อ
ทั้งนี้นอกจากอาการ 'บ้างาน' (Workaholic)
ซึ่งเป็นชื่อเรียกโรคโดยกรมสุขภาพจิต คือ
พฤติกรรมของบุคคลที่มีความทุ่มเทในการทำงานมากเกินกว่าที่องค์กรต้องการ
มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา
เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อนจากภายนอก เช่น ผลตอบแทน ตำแหน่ง คำชมเชย
การยอมรับจากหัวหน้างาน รวมถึงด้านสภาพแวดล้อม
โดยส่งผลไปควบคุมต่อแรงขับภายในตนเองให้เกิดความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานมากเกินปกติ
จนส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพ อารมณ์ความสุข และความสัมพันธ์
งานศึกษาชิ้นนี้ยังชี้ให้เห็นถึงอีกหนึ่งสาเหตุ คือ
ปัจจุบันพบว่าหลายองค์กรนำ 'ดัชนีชี้วัดความสาเร็จ' (KPI) เข้ามาใช้ภายในองค์กร
และกำหนดเกณฑ์การให้ผลตอบแทน อาทิ ตำแหน่ง เงินเดือน
ตามการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กรต้องทุ่มเทอย่างหนักและเร่งสร้างผลงานในการทำงาน
เพื่อสร้างความพร้อมและความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับองค์กร
รวมถึงหลายองค์กรมีจำนวนผู้ปฏิบัติงานไม่เพียงพอต่อปริมาณงานเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจ
หลายองค์กรจึงมีนโยบายการลดขนาดองค์กร และพยายามจำกัดการรับพนักงาน
ส่งผลให้เกิดสภาวะอัตรากาลังคนขาดผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็นพนักงานประจำ
ทำให้ต้องรับภาระงานที่ค่อนข้างมากกว่าปกติ
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ปัจจุบันแนวโน้มของผู้ปฏิบัติงานมีจำนวนชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยมีความสัมพันธ์กับการเกิดการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ของผู้ปฏิบัติงานภายในสำนักงาน
แนะจัดสวัสดิการ-วางนโยบายบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่สร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานแก่พนักงาน
สำหรับการศึกษาคนทำงานออฟฟิศ 420 คนในงานศึกษาชิ้นนี้
พบว่าส่วนใหญ่ทำงานประมาณตั้งแต่ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
มีสัดส่วนของผู้เจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ถึง 98.6 เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่มีอาการเจ็บป่วยที่บริเวณไหล่-บ่า มากที่สุด 24.8 เปอร์เซ็นต์
รองลงมาคือบริเวณข้อมือ-มือ 18.1 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากองค์กร เช่น ไม่มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ด้านการยศาสตร์
(Ergonomics) เพื่อช่วยสนับสนุนและป้องกันการเกิดอาการเจ็บป่วย
หรือไม่มีการให้แนวทางการดูแลรักษา
เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์พนักงานต้องดูแลตนเองด้วยการละเว้นจากการทำงาน
23.9 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือการไปนวดแผนไทยเพื่อบรรเทาอาการร้อยละ 16.2
เปอร์เซ็นต์ และใช้วิธีการออกกำลังกาย 13.9 เปอร์เซ็นต์
องค์กรควรมุ่งเน้นศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของสภาพแวดล้อมการทำงานภายในองค์กรที่ส่งผลต่อการเกิดการเจ็บป่วยจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบงานให้เหมาะสม คำนึงถึงการขยายความรับผิดชอบของงาน
การกระจายงาน เพื่อแบ่งภาระงานที่หนักเกินไป การปรับลดกระบวนการที่ไม่จำเป็น เช่น
ปรับลดปริมาณเอกสาร ระยะทางการขนส่ง หรือการทำงานที่ซ้ำซ้อน เป็นต้น
นอกจากนี้ควรมีการจัดสวัสดิการและวางนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่คำนึงถึงการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร
และสนับสนุนให้เกิดความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานของพนักงานให้มากขึ้น
อ่านผลงานวิจัยเรื่อง 'ปัจจัยที่ส่งผลให้พนักงานออฟฟิศทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานและเป็นโรคคอมพิวเตอร์ซินโดรม'
โดย 'ธันยวงศ์ เศรษฐ์พิทักษ์' ซึ่งเป็นการค้นคว้าอิสระตามหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2558 ได้ที่ http://researchgateway.in.th/search/result_search/51c137e30a4e25486567a4a73973f88c40e93e022c2ec9a0343ab4077aab5677