งิ้ว: ลมหายใจวัฒนธรรมแผ่นดินใหญ่
งิ้ว: ลมหายใจวัฒนธรรมแผ่นดินใหญ่
ศิลปะการแสดงที่มีชื่อเรียกว่า ‘งิ้ว’ เป็นมหรสพที่เกิดขึ้นมานานกว่า 5,000 ปี เริ่มต้นจากช่วงรัชสมัยจิว (เลียดก๊ก) มีมหรสพชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงที่ผสมผสานการขับร้องและการเจรจาประกอบกับลีลาท่าทางของนักแสดงให้ออกมาเป็นเรื่องเป็นราว โดยนำเหตุการณ์ต่างๆ ในพงศาวดารและประวัติศาสตร์มาดัดแปลงแต่งเติมให้เป็นบทแสดง
ในยุคสมัยนั้นมหรสพประเภทนี้ยังไม่มีแบบฉบับโดยเฉพาะ มีผู้แสดงเพียงไม่กี่คน และมีการแสดงเฉพาะในพระราชวังของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น เรื่องที่แสดงก็เป็นเรื่องสั้นๆ ไม่ยาวมากนัก
จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าถังเสวียนจง (ถังเหียงจง) แห่งราชวงศ์ถัง ที่ทรงพระปรีชาสามารถในศิลปะหลายด้านอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นนาฏศาสตร์ คีตศาสตร์ คนธรรพศาสตร์ ตลอดจนวรรณศิลป์ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าถังเสวียนจงทรงเป็นผู้ริเริ่มหรือเป็นปรมาจารย์แห่งงิ้วจีน เพราะปรากฏว่าสมัยต่อมาการแสดงงิ้วได้ดำเนินรอยตามแบบฉบับของพระเจ้าถังเสวียนจง แม้ว่าลีลาท่าทางจะมีการแก้ไขดัดแปลงบ้าง ก็ไม่แตกต่างจากต้นตำรับเท่าใดนัก
ยุคสมัยที่งิ้วเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคือช่วงปลายราชวงศ์ชิง สมัยพระเจ้ากวงสูเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ในช่วงนี้งิ้วเป็นที่แพร่หลายไปทั่วประเทศจีน ได้รับการอุปถัมภ์จากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในตระกูลต่างๆ มากมาย นอกจากนั้น พระนางซูสีไทเฮาทรงโปรดปรานงิ้วมากเช่นกัน เจ้านายต่างๆ ในแต่ละมณฑลจึงถวายงิ้วให้เป็นงิ้วประจำราชสำนัก เมื่อมีผู้อุปถัมภ์และผู้นิยมงิ้วมากขึ้น ทำให้นักแสดงงิ้วมีรายได้ดีมาก ผู้คนที่มีอาชีพอื่นก็หันมาฝึกงิ้ว เล่นงิ้ว ตั้งคณะงิ้วมากมาย จึงทำให้งิ้วในสมัยนี้มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
สิ่งที่มีผลกระทบมากที่สุดต่อวงการงิ้วจนทำให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว คือ การสวรรคตของพระนางซูสีไทเฮาและพระเจ้ากวงสู ซึ่งทางราชการได้สั่งให้งดการบันเทิงทุกชนิดทั่วทั้งประเทศเป็นเวลา 200 วัน เป็นผลให้พวกนักแสดงงิ้วที่มีมากกว่า 200 คณะในช่วงนั้นต้องงดการแสดงไปตลอด 9 เดือน นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ในระยะนั้นคณะงิ้วหลายคณะต้องปิดตัวลง เหล่านักแสดงต่างเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นตามที่ตนถนัด
ในช่วงแรกๆ งิ้วเป็นเพียงมหรสพการแสดงที่หาชมได้เพียงในพระราชวังหรือตระกูลผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ต่อมางิ้วได้เริ่มแพร่กระจายออกมาสู่ชาวบ้านพื้นเมืองในท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มสังคมเกษตรกรรม เนื่องจากบทบาทการอุปถัมภ์งิ้วในราชวงศ์ลดลง คณะงิ้วจึงต้องออกมาแสดงตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพตนเอง เมื่อการแสดงงิ้วได้รับการถ่ายทอดมาสู่สามัญชนธรรมดา จึงทำให้มหรสพประเภทนี้มีการแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว จากเมืองหนึ่งไปสู่เมืองหนึ่ง จากท้องถิ่นหนึ่งไปสู่อีกท้องถิ่นหนึ่ง จนกระทั่งกระจายไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
งิ้ว: รากศัพท์และความหมาย
‘งิ้ว’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันในประเทศไทยและมีความหมายว่า ‘ละครจีน’ นั้น มีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่การละเล่นชนิดนี้เป็นที่คุ้นเคยของชาวไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ดังปรากฏในจดหมายเหตุรายวันการเดินทางไปสู่ประเทศสยาม ปี ค.ศ.1658-1686 ของบาทหลวงเดอชัวซี ที่ติดตามมองซิเออร์ เลอ เชอวาเลีย เดอโชมองต์ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียกการแสดงของชาวจีนว่า ‘Comedie a ldChinoise’ และ ‘UnetragedieChinoise’ แปลเป็นไทยได้ความว่า ‘ละครจีน’
ขณะที่ ลาลูแบร์ ทูตชาวฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่งที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาช่วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ได้มีโอกาสชมงิ้วและเรียกการแสดงนี้ว่า ‘A Chinese Comedy’ ซึ่งก็มีความหมายว่าละครจีนเช่นกัน
ในสมัยอยุธยานั้นชาวไทยเรียกการแสดงของจีนนี้ว่าอย่างไรไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด ตราบจนถึงสมัยกรุงธนบุรี รัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากพระองค์มีเชื้อสายจีน ชาวจีนจึงได้อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยมากขึ้น คำที่ใช้เรียกการแสดงของจีนว่า ‘งิ้ว’ จึงเริ่มปรากฏในสมัยนี้ ดังปรากฏในหลักฐานว่า
คราวที่พระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้จัดขบวนแห่อย่างใหญ่โต เพื่ออัญเชิญพระแก้วมรกต ซึ่งรัชกาลที่ 1 (คราวดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก) ทรงยกทัพไปตีเวียงจันทน์และได้อัญเชิญลงมาด้วยนั้น ในขบวนแห่ดังกล่าวนอกจากจะมีโขน ละคร ดนตรีและปี่พาทย์แล้ว ในหมายรับสั่งยังปรากฏว่ามีงิ้วไปแสดงในเรือด้วย 2 ลำ ดังข้อความว่า “งิ้วลงสามป้าน พระยาราชาเศรษฐีหนึ่ง หลวงรักษาสมบัติหนึ่ง รวมงิ้ว 2 ลำ”
ขณะที่ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตอนอภิเษกพระราชบุตรและพระราชธิดาสี่พระนครนั้น หลังเสร็จพิธีอภิเษกแล้วได้มีมหรสพฉลองอันยิ่งใหญ่ ซึ่งในข้อความบรรทัดหนึ่งนั้นได้ปรากฏคำว่างิ้วขึ้นมาอีกเช่นกันว่า“ช่องระทาหุ่นจีนงิ้วเจ๊ก ละครแขกเล็กเล็กใส่หัวสูง”นอกจากนั้นคำว่า ‘งิ้ว’ ยังปรากฏอีกมากมายในวรรณกรรมและจดหมายเหตุต่างๆ ในสมัยต่อๆ มา เช่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเผาศพนางวันทอง หรือจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เป็นต้น
ทั้งนี้ หากจะสืบความเป็นมาของคำว่า ‘งิ้ว’ จากคำไทยแล้ว ไม่ปรากฏคำไทยคำใดที่มีทั้งเสียงและความหมายใกล้เคียงกันพอที่จะสืบค้นประวัติของคำนี้ได้เลย แต่เมื่อพิจารณาว่า ‘งิ้ว’ เป็นการแสดงของชาวจีน คำว่า ‘งิ้ว’ น่าจะได้อิทธิพลมาจากคำจีน ซึ่งการแสดงที่ไทยเรียกว่า ‘งิ้ว’ นั้น ชาวจีนเรียกว่า (ซี่) (ฮี่) บ้าง (จวี้) (เกี๊ยะ) บ้าง และเรียกผู้แสดงการละเล่นชนิดนี้ว่า (อิว) ตามสำเนียงที่แตกต่างกันของคนจีนแต่ละถิ่น
เส้นทางสายงิ้วสู่เมืองไทย
ชาวจีนนับว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่ยึดมั่นในประเพณีอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะอพยพไป ตั้งถิ่นฐานแห่งใหม่ การปฏิบัติตามความเชื่อและประเพณีต่างๆ ในแบบฉบับเดิมก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อทางด้านศาสนา ที่ใดที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ศาลเจ้า’
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนกับศาลเจ้ามีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด งานประจำปีที่สำคัญยิ่งคืองานวันเกิดเจ้าและงานตอบแทนบุญคุณเจ้า ในช่วงเวลาดังกล่าวชาวจีนจะมีการว่าจ้างงิ้วมาแสดงเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ซึ่งความเชื่อนี้เองที่เป็นสาเหตุให้การแสดงงิ้วขยายเข้ามาสู่เมืองไทย
ยุคที่เฟื่องฟูที่สุดของการแสดงงิ้วในเมืองไทยเป็นช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ดูเหมือนว่าจะตรงกับช่วงที่พระเจ้ากวงสูและพระนางซูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์ ซึ่งในช่วงนั้นมีการอพยพแรงงานจีนสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก คณะงิ้วจากเมืองจีนก็ได้เดินทางไปแสดงในต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย
จะเห็นได้ว่าในช่วงรัชกาลที่ 5 งิ้วเป็นที่นิยมอย่างมาก ถึงกับมีโรงเรียนสอนงิ้วเกิดขึ้นหลายโรง ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นจะมีงิ้วฝึกหัดในเมืองไทยแล้วก็ตาม แต่ชาวจีนที่อยู่ในเมืองไทยก็ยังนิยมที่จะว่าจ้างงิ้วจากเมืองจีนให้มาแสดงในงานประจำปีเสมอ
งิ้วจากประเทศจีนที่เข้ามาแสดงในประเทศไทย (ประเทศสยามในสมัยนั้น) ในช่วงแรกจะไม่ใช่งิ้วแต้จิ๋วเหมือนในปัจจุบัน จะเป็นงิ้ว 4 ประเภท คือ งิ้วไซฉิ้ง งิ้วงั่วกัง งิ้วเจี่ยอิม งิ้มแป๊ะหยี่ เนื่องจากในสมัยนั้นตรงกับสมัยต้นราชวงศ์ชิง มีพระเจ้าคังซีเป็นผู้ปกครองประเทศจีน ซึ่งในช่วงนั้นงิ้วแต้จิ๋วยังอยู่ในระหว่างวิวัฒนาการยังไม่แพร่หลายเต็มที่ ในยุคนั้นงิ้วทั้ง 4 ประเภท ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเป็นงิ้วที่มีมาตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์หมิงถึงปลายราชวงศ์ชิง
และงิ้วทั้ง 4 ประเภทนี้บางครั้งบางคณะก็ได้มีโอกาสไปแสดงในต่างประเทศ ต่อมางิ้วแต้จิ๋ว หรือที่ชาวจีนเรียกว่า ‘ฉาวโจวซี่’ (เตี่ยจิวฮี่) ซึ่งเป็นงิ้วท้องถิ่นชนิดหนึ่งทางตอนใต้ของจีน ที่เจริญขึ้นที่เมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ในปลายสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1645)
งิ้วชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ คือ ‘ฉาวอินซี่’ (เตี่ยอิมฮี่) บ้าง ‘ไปจื้อซี่’ (แป๊ะหยี่ฮี่) บ้าง ‘ถงจื่อปัน’ (ท่งจือปัง) หรือความหมายว่างิ้วเด็กบ้าง โดยได้เจริญขึ้นอย่างมากในสมัยปลายราชวงศ์ชิง ซึ่งมีพระเจ้ากวงสูเป็นผู้ปกครอง ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย งิ้วแต้จิ๋วจึงได้เริ่มเดินทางมาแสดงยังเมืองไทยมากขึ้น และทำให้งิ้วประเภทอื่นๆ ลดความนิยมลง เนื่องจากชาวจีนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมืองไทยเป็นคนจีนแต้จิ๋ว ภาษาแต้จิ๋วจึงเกือบเป็นภาษากลางของคนจีนในเมืองไทย
เมื่อเป็นเช่นนั้น งิ้วต่างๆ ที่เคยถูกว่าจ้างให้มาแสดงในศาลเจ้าประจำทุกปี ก็เปลี่ยนเป็นงิ้วแต้จิ๋วแท้ ทั้งโรงงิ้วที่เคยแสดงงิ้วกวางตุ้งประจำที่ถนนเจริญกรุงและถนนเยาวราชก็ถูกเปลี่ยนเป็นงิ้วแต้จิ๋วทั้งหมด งิ้วแต้จิ๋วที่เข้ามาเมืองไทยสองคณะแรก คือ คณะเล่าเจี้ยฮั้ว และคณะเล่าซังฮี้ โดยเริ่มเดินทางด้วยเรือหัวแดงจากเมืองซัวเถา มุ่งตรงมาที่กรุงเทพฯ และหลังจากนั้นในเมืองไทยก็มีการแสดงงิ้วแต้จิ๋วอย่างแพร่หลายตามงานศาลเจ้ามาจนถึงปัจจุบันนี้
ประเภทของงิ้ว
การแสดงงิ้วนั้นถ้าจะกล่าวกันตามความจริงแล้วมีมากมายหลายชนิด มีทั้งชนิดที่ใช้คนแสดง ใช้หุ่นแสดง หรือใช้หนังสัตว์ตัดฉลุเชิดคล้ายหนังตะลุงของไทย สำหรับชนิดที่ใช้คนแสดงนั้นก็มีมากมายหลายประเภท เนื่องจากในช่วงที่งิ้วแพร่กระจายออกจากราชสำนักไปทั่วประเทศจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้แต่ละท้องถิ่นต่างๆ นำไปประยุกต์ดัดแปลงบางสิ่งบางอย่างให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตน ทั้งด้านภาษา เครื่องแต่งกาย สำเนียงการร้อง แต่ยังยึดถือรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของงิ้วไว้อย่างเดิม ซึ่งในปัจจุบันถ้าจะจำแนกประเภทของงิ้วที่ใช้คนแสดงก็คงจะแยกได้เพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ งิ้วหลวงและงิ้วท้องถิ่น
งิ้วหลวง
ภาษาจีนกลาง เรียกว่า จิงจวี้ กั่วจวี้ หรือผิงจวี่ (เกียเกี๊ยะ ก๊กเกี๊ยะ เผ่งเกี๊ยะ-แต้จิ๋ว) ถือกันว่าเป็นงิ้วประจำชาติจีน งิ้วหลวงมีวิวัฒนาการมาจากงิ้วท้องถิ่นที่เรียกว่า ‘ฮั่นจวี้’ โดยเอาเนื้อหาในบทละคร ท่าทางการแสดงและทำนองเพลงจากงิ้วคุนเชียงและฉิงเชียง หลังจากนั้นก็เอาทำนองเพลงพื้นบ้านหลายๆ แห่งมาดัดแปลงให้กลายเป็นงิ้วหลวงที่มีความสมบูรณ์แบบ
การแสดงของงิ้วชนิดนี้ถือว่ามีมาตรฐานแน่นอน ทั้งด้านลีลา ท่าทางการร่ายรำ ท่วงทำนอง ดนตรีที่ใช้ประกอบ จังหวะดนตรี เนื้อหา การแต่งกาย การแต่งหน้า ทุกอย่างเป็นไปตามแบบแผนที่ครูงิ้วกำหนดมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้นตัวแสดงจะต้องมีความชำนาญในการแสดงเป็นพิเศษ นักแสดง
ส่วนใหญ่ต้องฝึกฝนกันมาตั้งแต่ยังเด็ก กว่าจะได้มีโอกาสแสดงก็ต้องใช้เวลา 6-7 ปี จึงกล่าวได้ว่า งิ้วหลวง ถือเป็นงิ้วที่มีมาตรฐานครบถ้วน
งิ้วประเภทนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นกระจกเงาสะท้องให้เห็นถึงวัฒนธรรม จารีตประเพณีของคนจีนในยุคโบราณได้อย่างดี ลักษณะพิเศษของงิ้วหลวงอีกอย่างก็คือ ภาษาเนื้อร้อง คำสนทนาในบทแสดงของงิ้วหลวงแต่ละบทนั้นล้วนเป็นภาษาจีนกลางทั้งหมด
งิ้วท้องถิ่น
ภาษาจีนเรียกว่า ตี่ฮึงซี่ (ตี้ฟังซี่) เป็นงิ้วที่มีวิวัฒนาการมาจากการละเล่นพื้นบ้านของชาวเมืองในท้องถิ่นนั้นๆ เมื่อมีการแสดงใหม่ๆ แพร่กระจายเข้ามาสู่ท้องถิ่น ชาวบ้านก็จะมีการดัดแปลงเอาการแสดงใหม่ๆ ที่ได้รับมาเป็นแบบอย่างของตน หรือบางครั้งอาจจะรวมเข้ากับการละเล่นพื้นบ้านที่มีอยู่ แต่ยังคงไว้ซึ่งลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นนั้นๆ อยู่
งิ้วท้องถิ่นนั้นมีหลายร้อยชนิด ในเทศกาลการละครของแผ่นดินจีน เมื่อปี พ.ศ.1952 ปรากฏว่ามีงิ้วจากที่ต่างๆ มาร่วมแสดงทั้งสิ้น 23 ชนิด และที่นับว่าเล่นได้ดีได้รับการชมเชยมีอยู่หลายเมือง เช่น งิ้วจากลุ่มแม่น้ำหวยเฮอ งิ้วฮกเกี้ยน งิ้วเสฉวน งิ้วฉูงั้วเอี้ย (งิ้วชนิดนี้เป็นงิ้วโบราณที่เชื่อกันว่ามีขึ้นที่เมืองฉู่และเมืองเอี้ย ตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศ์โจว) งิ้วหูหนัน งิ้วกวงสี งิ้วผิงจวี่ งิ้วฉินซี่ (เจริญขึ้นที่มณฑลหูหนัน) สำหรับงิ้วท้องถิ่นทางตอนใต้ของจีนซึ่งชาวไทยรู้จักกันดี ได้แก่ งิ้วฮกเกี้ยน งิ้วแต้จิ๋ว งิ้วไหหลำ และงิ้วกวางตุ้ง
การแสดงของงิ้วท้องถิ่นนั้น ด้านลีลาการร่ายรำ ท่วงทำนอง ดนตรีประกอบคำร้อง การแต่งกาย การแต่งหน้า จะแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย ที่สำคัญคือไม่ได้ยึดถือตามแบบแผนอย่างเคร่งครัดเหมือนงิ้วหลวง ทั้งนี้ เพราะแต่ละที่ แต่ละท้องถิ่น ก็จะต้องผสมผสานศิลปะ ภาษา ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนลงไปด้วยเพื่อความเหมาะสม
ศิลปะการแต่งหน้า: บทบาทบนใบหน้างิ้ว
ในอดีตกาลการแต่งหน้าในการแสดงงิ้วไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เนื่องจากผู้แสดงในสมัยก่อนใช้หน้ากากหนังที่วาดลวดลายสีสันต่างๆ สวมใบหน้าขณะแสดง แต่ต่อมาภายหลังผู้แสดงเลิกใช้หน้ากากเปลี่ยนมาเป็นใช้การแต่งหน้าแทน ถึงแม้ว่าจะลำบากและเสียเวลาในการแต่งหน้ามากกว่าการหยิบหน้ากากมาใส่ก็ตาม แต่เนื่องจากการแต่งหน้าจะช่วยให้ผู้แสดงสามารถเลือกลวดลายต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและเหมือนจริงมากที่สุด และสีสันต่างๆ ที่นำมาแต่งหน้านักแสดงก็ยังสามารถบ่งบอกถึงบุคลิก ลักษณะนิสัยของตัวละครเหล่านั้นได้ด้วย
บางครั้งสีหนึ่งอาจจะใช้สำหรับตัวละครตัวหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของผู้กล้าหาญ ซื่อตรง สีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของความสงบเงียบขรึม สีทองและสีเงินเป็นสัญลักษณ์ของเทวดา พระเจ้า สีเขียวแกมเทาเป็นสัญลักษณ์ของภูตผีปีศาจ เป็นต้น
สำหรับการแต่งหน้าตัวละครในปัจจุบันจะพยายามยึดถือแบบฉบับอย่างในอดีตให้มากที่สุด แต่เนื่องจากสภาวะและเศรษฐกิจต่างๆ ได้เปลี่ยนไป ความละเอียดลออความพิถีพิถันได้ลดน้อยลงคงเหลือไว้แต่เพียงลักษณะทั่วไปตามหลักการใหญ่ๆ มีเพียงตัวละครที่แต่งหน้าแบบมีสีสัน ส่วนใหญ่ปัจจุบันจะเป็นพวกหน้าลายเท่านั้น ซึ่งการแต่งหน้างิ้วในปัจจุบันจะมีรูปแบบไม่กี่แบบดังนี
การแต่งหน้าของตัวละครชาย แบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ
- การแต่งหน้าขาวธรรมดา หมายถึง การแต่งหน้าแบบเรียบๆ ไม่มีการเสริมแต่งสีสันอะไรมากมาย เช่น การแต่งหน้าของพระเอก เป็นต้น
- การแต่งหน้าแบบตัวหน้าลาย การแต่งหน้าในรูปแบบนี้ ผู้แสดงจะต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมากในการวาดลวดลาย ใช้สีเขียนกันอย่างมีศิลปะ เนื่องจากการแต่งหน้าลายนั้น สีที่ใช้แต่งสามารถบ่งบอกบุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครแต่ละตัวได้ เช่น สีแดง หมายถึงสีแห่งความจงรักภักดี สีม่วงเป็นสีที่บ่งบอกถึงความเป็นคนหนักแน่น มีใจเด็ดเดี่ยว สีดำ หมายถึงความเป็นคนป่าเถื่อน สีน้ำเงินเป็นสีที่แสดงถึงความเป็นคนใจร้าย มุทะลุ สีเขียวเป็นสีแสดงถึงความกล้าหาญ แน่วแน่ สีขาวมักแสดงถึงความเป็นคนเจ้าเล่ห์ สีชมพูขาวแสดงถึงความเป็นคนมีใจอำมหิต ชั่วร้ายมาก สีอิฐหรือสีแดงเข้ม หมายถึงผู้สูงอายุ สีทองและสีเงินมักเป็นสีของเทพ นักพรตหรือปีศาจที่มีเวทมนตร์คาถา สีเขียวอ่อนเป็นสีของเหล่าปีศาจร้ายที่มีอิทธิฤทธิ์ พวกที่มักจะแต่งหน้าลาย ได้แก่ เปาบุ้นจิ้น เทพต่างๆ เห้งเจีย เป็นต้น
- การแต่งหน้าแบบตัวตลก มักจะเน้นที่สีขาว ซึ่งจะแต่งหน้าแบบธรรมดา แล้วทาสีขาวตรงจมูกหรือรอบๆ เบ้าตาทั้งสอง และจะมีการเสริมแต่งด้วยหนวดและเคราที่มีลักษณะแปลกๆ ให้ดูตลก
การแต่งหน้าของตัวละครฝ่ายหญิง แบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ
- การแต่งหน้าขาวธรรมดา โดยมีการทาแป้ง เขียนคิ้ว ทาลิปสติกสีต่าง ๆ ให้ดูสวยงามเท่านั้น ส่วนใหญ่นักแสดงหญิงจะแต่งแบบนี้ โดยเฉพาะนางเอกและนางรอง
- การแต่งหน้าแบบตัวตลกหญิง จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวตลกชาย คือมักจะทาสีขาวตรงดั้งจมูกเพื่อให้ดูตลก หากเป็นตัวละครที่แสดงบทเป็นตัวอิจฉาก็มักจะแต้มไฝไว้ที่คางด้านใดด้านหนึ่งได้
ส่วนเรื่องการแต่งผมของตัวละครทั้งชายและหญิงมีดังนี้
การแต่งผมของตัวละครฝ่ายชาย จะมีการแต่งผม 2 แบบ คือ การแต่งผมแบบใส่หมวกยศและการแต่งผมแบบใส่หมวกสามัญ ซึ่งการแต่งผมแบบใส่หมวกยศนั้น เมื่อผู้แสดงแต่งหน้าเรียบร้อยแล้วก็จะพันผ้าดำรอบหน้าผาก แล้วค่อยมวยผม (ใส่จั้ง) หรือถักเปีย (มั่งปี) แล้วจึงใส่หมวกยศ แต่การแต่งผมแบบใส่หมวกสามัญ เมื่อเอาผ้าดำพันรอบหน้าผากแล้วก็สามารถใส่หมวกได้เลย ไม่จำเป็นต้องมวยผมหรือถักเปีย ในกรณีผู้แสดงเป็นเด็กชายก็ให้ทำผมเกล้าจุก 2 ข้าง
การแต่งผมของตัวละครฝ่ายหญิง จะมีความพิถีพิถันมากกว่าตัวละครชายมาก เมื่อแต่งหน้าเสร็จแล้วก็จะแต่งผมที่มีชื่อเรียกว่า ‘หม่อซุย’ โดยใช้เส้นผมเป็นปอยๆ จับเป็นก้นหอยแล้วจึงปะติดที่หน้าผากทีละปอย เสร็จแล้วก็พันผ้าสีดำรอบหน้าผาก จากนั้นจึงใส่ผมปลอมซึ่งเกล้าไว้เรียบร้อยแล้ว และติดเครื่องประดับ ตกแต่งด้วยดอกไม้ โดยการตกแต่งผมของตัวละครหญิงสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ
- แบบจูโถว คือ แบบที่ตัวละครผมยาวขมวดไว้ด้านหลังแล้วประดับเพชรพลอยทั้งศีรษะ
- แบบต้าโถว คือ แบบที่ตัวละครที่เป็นหญิงสาวทำผมข้างหน้าเป็นลอนๆ แล้วรวบปลายผมไว้ด้านหลัง และประดับเพชรพลอยไว้ที่ลอนผม
- แบบเหมยเซียง หรือสาวใช้ คือ การแต่งผมของตัวละครที่รับบทเป็นสาวใช้ จะมีลักษณะคล้ายแบบต้าโถว แต่ทำจุกหรือรวบผมไว้ด้านข้างแทน
งิ้ว: อัตลักษณ์ความเป็นจีนในสังคมไทย
งิ้วถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยพร้อมกับชาวจีนและศาลเจ้าจีน งิ้วจึงมีฐานะเป็นสิ่งเชื่อมโยงชุมชนกับเทพเจ้า งิ้วสะท้อนภาพของชุมชนในแง่การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างงิ้ว ศาลเจ้าและชุมชน จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด ศาลเจ้าและเจ้าประจำศาลเป็นเหมือนที่ยึดเหนี่ยวให้กับคนจีนที่อยู่ในประเทศไทย เป็นความเชื่อเฉพาะที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งอดีตและยังคงมีการสืบทอดกันต่อมา แม้จะลดความเข้มข้นลงไปบ้างในกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ จากการที่งิ้วถูกใช้เป็นเครื่องบวงสรวงเทพเจ้าจีน
ดังนั้น งิ้วกับชุมชนจึงเชื่อมเข้าหากัน งิ้วได้เลียนแบบคำสอนการดำรงชีวิต ตามคติความเชื่อดั้งเดิมของจีน คือ ขงจื้อ เต๋าและพุทธ ประกอบกับการผสมผสานพุทธแบบเถรวาทของไทยเข้าไปด้วย และสื่อออกมาในรูปของการแสดงที่งิ้วแต่ละเรื่องจะต้องมีแก่นเรื่องความดีหรือหลักคุณธรรมอย่างน้อยหนึ่งอย่างให้ผู้ชมได้รับรู้ งิ้วจึงเป็นรูปแบบการสั่งสอนอบรมการเป็นคนดีในรูปแบบความเป็นจีนที่ถูกนำมาปลูกฝังให้คนไทยเชื้อสายจีนเมืองไทย
นอกจากนี้การแสดงงิ้วยังแสดงออกถึงความเป็นจีนอย่างเด่นชัด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดอัตลักษณ์ความเป็นจีนของลูกหลานจีนในสังคมไทย ขณะเดียวกันการใช้สัญลักษณ์ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นจีน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ในการแสดงงิ้ว แสดงถึงการแยกตัวตนออกจากความเป็นไทยอย่างชัดเจน ชุดต่างๆ ที่ปรากฏบนเวทีงิ้วเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายสมัยโบราณของจีนที่งิ้วรับเอามาเป็นแบบแผนการแสดงที่ค่อนข้างตายตัว โดยที่ความหมายนัยยะที่แสดงผ่านสัญลักษณ์ในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์เป็นที่เข้าใจได้ในหมู่คนจีน มีการอ้างอิงสื่อความโดยนำเอาความเชื่อทางศาสนาและภาษาในการตีความ
อย่างไรก็ตาม อัตลักษณ์ความเป็นจีนได้ใช้งิ้วเป็นพื้นที่ในการแยกตัวตนออกจากความเป็นไทย แต่ในขณะเดียวกันก็มิได้พยายามที่จะแยกตัวออกจากสังคมไทยแต่อย่างใด หากแต่เป็นพื้นที่ที่คนจีนสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกและตอกย้ำถึงความเป็นจีนในตัวตน มิให้ถูกกลืนหายไปกับกระแสโลกและบริบทรอบข้าง
อัตลักษณ์ความเป็นงิ้วในปัจจุบัน จึงมิได้สูญหายไปแต่เป็นการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์บางประการตามกระแสภายนอกที่มากระทบ แต่ความเป็นตัวตนและพื้นที่ยังคงอยู่ โดยเป็นพื้นที่แสดงออกถึงความเป็นจีน เกิดตัวตนความเป็นจีนขึ้น แต่ตัวตนนี้ก็ไม่ได้ไปขัดแย้งหรือแย่งชิงพื้นที่ความเป็นไทยแต่อย่างใด คนจีนจึงต่างพยายามหาพื้นที่ความเป็นจีนในสังคม แสดงออกถึงความเป็นตัวตนผ่านงานที่ตนสนใจ และยอมรับในอัดลักษณ์ใหม่ที่เคลื่อนไหว
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการที่จะขัดขวางหรือสร้างความเป็นชาตินิยมเช่นในอดีตที่ต้องการแบ่งแยกความเป็น ‘เขา’ เป็น ‘เรา’ หากต้องการที่จะคงความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้ในฐานะของมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural heritage) เท่านั้น
สถานการณ์งิ้วในไทยในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ งิ้วไม่ได้รับความนิยมมากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้วหลังปี พ.ศ.2505 เป็นต้นมา งิ้วเริ่มเสื่อมความนิยมลงด้วยสาเหตุจากความเปลี่ยนแปลงหลายประการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม สาเหตุสำคัญที่มีหลายประการ
1. ความเจริญของสังคมและรูปแบบใหม่ของการบันเทิง
เมื่อเทคโนโลยีและวิทยาการเจริญขึ้นสิ่งสนองความบันเทิงถูกประดิษฐ์มาในรูปแบบต่างๆ ในยุคปัจจุบันภาพยนตร์ดูจะให้ความบันเทิงแก่คนทั่วไปได้มากที่สุด สำหรับชาวจีนแล้ว ภาพยนตร์จีนจะมีความหมายต่อพวกเขามาก เมื่อประมาณ 40 กว่าปีมานี้ ภาพยนตร์จีนจากเซี้ยงไฮ้ได้เข้ามาฉายในกรุงเทพฯ แม้จะเป็นภาพยนตร์ที่แต่งกายแบบปัจจุบัน ก็ได้รับความนิยมจากชาวจีนมากที่สุด ช่วงนี้ทำให้งิ้วเสื่อมความนิยมลงชั่วขณะผู้อยู่ในวงการงิ้วแต้จิ๋วมีคุณเฉินเถี่ยฮั้น (ตั้งเถี่ยฮั้น)จึงคิดจะดัดแปลงงิ้ว เพื่อให้สอดคล้องกับรสนิยมของคนจีนจึงได้เข้าร่วมกิจการกับโรงงิ้วแถวเยาวราชแล้วตั้งสมาคมชื่อ‘อู้เจี่ยเส้อ’โดยเปลี่ยนเนื้อหาของงิ้วที่เคยแสดงอยู่เดิม จากนิยายอิงประวัติศาสตร์มาเป็นเลียนแบบเนื้อหาของภาพยนตร์จีนที่มาจากเซี่ยงไฮ้ เช่นเรื่อง กู่จื่อฉิวจู่จี้ แล้วใส่ทำนองของเพลงและลีลาการแสดงร่ายรำแบบเดิมของงิ้วแต้จิ๋ว
ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก ผู้ประพันธ์บทในระยะนั้นร่ำรวยกันไปมากมาย ความคิดใหม่นี้เป็นเหตุให้คณะงิ้วอื่นดัดแปลงเนื้อหาจากภาพยนตร์จีนมาแสดงมากขึ้นอย่างไรก็ดี งิ้วแต้จิ๋วเริ่มเสื่อมความนิยมลงอย่างมากเมื่อประมาณ 20 กว่าปีมานี้ เนื่องจากมีภาพยนตร์ ‘งิ้ว’จากฮ่องกงเข้ามาฉายในเมืองไทย ภาพยนตร์ชนิดนี้ได้รับความนิยมจากชาวจีนอย่างล้นหลาม ทั้งนี้เนื่องจากภาพยนตร์งิ้วมีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วทันใจ
2. จำนวนผู้ชมงิ้วแต้จิ๋วอยู่ในจำกัด
ชาวจีนรุ่นเก่าผูกพันและชื่นชมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน ความบันเทิงที่ให้ความสุขแก่พวกเขามากที่สุดก็คือ งิ้ว แต่จีนรุ่นหลังคือ ลูกจีนนั้นน้อยคนนักจะเข้าใจและซึ้งใจในความไพเราะของภาษาดนตรีและความงามในลีลาการร่ายรำ อันเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของบรรพบุรุษตน ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาเจริญเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมใหม่และสิ่งที่สำคัญ คือ พวกเขามิได้รับการศึกษาตามแบบอย่างชาวจีนอย่างแท้จริง เมื่อความรู้ภาษาจีนมีน้อยหรือไม่รู้เลย ทำให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของบทละครได้ดังนั้น งิ้วจึงดูเป็นสิ่งให้ความบันเทิงที่เก่าแก่ คร่ำครึ อาจกล่าวได้ว่าการขาดการศึกษาแบบจีนเป็นสาเหตุแห่งการเสื่อมลงของงิ้วแต้จิ๋วอีกประการหนึ่ง
3. อัตราค่าว่าจ้างมาแสดงนั้นสูงมากกว่าภาพยนตร์และการละเล่นอื่นๆ หลายเท่า
ในปัจจุบันอัตราค่าว่าจ้างงิ้วขั้นสูงไม่เกิน 40,000 บาทและขั้นต่ำไม่เกิน 20,000 บาทต่อคืน อัตราค่าจ้างจะลดหลั่นกันไปตามชื่อเสียงของคณะงิ้วในสมัยก่อนการประกวดการแสดงระหว่างงิ้วหลายโรงที่จัดขึ้นตามศาลเจ้านั้นเป็นวิธีที่ทำให้คณะงิ้วสามารถเรียกค่าว่าจ้างได้สูงมากขึ้น ปัจจุบันนี้แม้ว่าจะไม่มีการประกวดงิ้วกันตามศาลเจ้าก็ตาม หัวหน้าคณะจะสามารถเรียกค้าจ้างได้สูงลิ่วเมื่อมีตัวนางเอกและตัวพระเอกดีมีชื่อเสียง
4. ความยุ่งยากในการขอใบอนุญาตเล่นงิ้วประจำปี
ระเบียบในการขออนุญาตจากราชการเพื่อจัดงานรื่นเริงประจำปีของชาวจีน นั้นมีมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันการขอใบอนุญาตก็มีความยุ่งยากกว่าเดิมอีก หากชาวจีนผู้ไปติดต่อนั้นไม่รู้จักธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันในวงข้าราชการทั่วไป การขอใบอนุญาตจะต้องขอผ่านสถานีตำรวจของเขตนั้นๆ เมื่อผ่านใบขออนุญาตแล้วทางคณะกรรมการจัดงานจะต้องเขียนรายชื่อเรื่องที่คณะงิ้วจะแสดงไปแจ้งยังสถานีตำรวจ ทางสถานีตำรวจจะกำหนดเวลาในการแสดงว่าอนุญาตให้แสดงถึงเวลาใด
หากคณะงิ้วแสดงเกินเวลากำหนด หรือถ้าไม่แสดงเรื่องตามที่แจ้งไว้จะมีความผิดทางกฎหมายทันทีดังนั้นจึงเห็นว่านอกจากจะต้องเสียค่าขออนุญาตแล้วยังต้องจ่ายในสิ่งอื่นอีกมากมาย ทั้งต้องคอยระวังให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์อีกด้วย จึงเป็นเหตุให้ชาวจีนไม่นิยมจะว่าจ้างงิ้วมาแสดงในงานประจำปีสำหรับชาวจีนในเมืองไทยปัจจุบันแล้ว มาถึงทุกวันนี้ที่ถนนเจริญกรุงและถนนเยาวราช ไม่เหลือโรงงิ้วถาวรให้ผู้ชมได้ตีตั๋วเข้าไปดูงิ้วอีกต่อไปแล้ว คงหาดูได้ก็แต่ในงานศาลเจ้าหรือในเทศกาลสำคัญของชาวจีนเท่านั้น
แต่อย่างน้อยก็ยังมีคณะงิ้วบางคณะหลงเหลืออยู่พอให้เราได้ชมการแสดงอยู่บ้าง แม้ว่าจะถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงการแสดงคู่กับศาลเจ้าก็ตามที แต่นั่นก็คือหนึ่งภาพสะท้อนที่ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของชาวจีนกับชาวไทยที่มีมาเนิ่นนานนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
งิ้วที่เป็นของคู่กับศาลเจ้าโดยแท้ เมื่อใดที่มีงานฉลองศาลเจ้าก็เป็นโอกาสอันดีสำหรับชาวจีน ผู้ชื่นชมงิ้วทั้งหลายจะได้ดูงิ้วอย่างถึงใจ แต่ครั้นสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งความเจริญทางเทคโนโลยียิ่งมีมากขึ้นและสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสังคมไทยในปัจจุบันประกอบกับความยุ่งยากต่างๆ ที่จะต้องติดต่อกับวงราชการเพื่อจัดงานประจำปีจึงทำให้ของที่คู่กับศาลเจ้าเปลี่ยนจากงิ้วเป็นภาพยนตร์ไป งิ้วจึงมีโอกาสแสดงน้อยลงเป็นลำดับ
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีงิ้วเร่ ซึ่งแสดงคู่กับศาลเจ้าโดยเฉพาะถึง 30 คณะก็ตาม ด้วยการว่าจ้างที่น้อยลงไปทุกที คณะงิ้วแต่ละคณะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากดังนั้นหากคณะใดทนต่อการขาดทุนไม่ได้ก็ต้องสลายตัวลงไปในที่สุด อนาคตของงิ้วหรืออุปรากรจีนในเมืองไทยยังจะดำรงอยู่ได้ ตราบที่ศาลเจ้ายังมีผู้ศรัทธาจ้างเอางิ้วไปแสดง แต่หากศาลเจ้าขาดผู้ศรัทธาไม่มีใครเข้ามาอุปถัมภ์ค้ำจุน งิ้วก็จะสาบสูญสิ้นไป
ข้อมูล
- อภิโชค แซ่โค้ว, งิ้ว : การแสดงที่ผูกพันกับความเชื่อทางศาสนาของจีน
- พรพรรณ จันทโรนานนท์, ฉางโจวซี่ งิ้วแต้จิ๋ว: ความเป็นมาและการแพร่กระจายเข้าสู่เมืองไทย
- ศยามล เจริญรัตน์, ‘งิ้วแต้จิ๋ว’ ในฐานะละครสังคม: สัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไทยจีน
- http://beijingopera-rpk.blogspot.com/2014/01/chinese-opera-in-thailand.html

