MQ ความฉลาดที่จำเป็นคนยุคใหม่

04 ธันวาคม 2023
|
801 อ่านข่าวนี้
|
10


MQ ความฉลาดที่จำเป็นคนยุคใหม่

ศตวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงที่หลายคนบอกว่าเป็นการก้าวกระโดดของ วิวัฒนาการของมนุษย์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนเรามากขึ้นและกระทบกับความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ที่ต้องเปลี่ยนไปตามวิวัฒนาการของสังคม หนึ่งอย่างในนั้นที่ถูกตั้งคำถามมาก็คือ ผลกระทบต่อเด็กๆ ความสามารถ ความฉลาด สติปัญญา และอารมณ์ของพวกเขา

เริ่มมีการพูดถึงเรื่องความฉลาดทางสติปัญญา(IQ) และความฉลาดทางอารมณ์(EQ) ของเด็กอย่างกว้างขวางมากขึ้น พ่อแม่จำนวนไม่น้อยก็มุ่งความสำคัญไปที่สองหัวข้อนี้อย่างมากเพราะเห็นว่า นั่นเป็นแนวทางที่จะทำให้เด็กๆ พัฒนาขึ้นอย่างมีคุณภาพ 

โดยเฉพาะความฉลาดทางอารมณ์ที่ว่ากันว่าจะช่วยประคับประคองตัวเขาเองและสังคมได้ โดยไม่มุ่งแต่ผลเลิศทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวโดยลืมส่วนอื่นของชีวิต  

ทว่าความสำเร็จที่มาพร้อม ความเห็นแก่ตัว ความทะเยอทะยาน การเห็นแก่ได้อาจไม่ใช่หนทางของความสุข ปัจจุบันนักจิตวิทยาพบว่ามีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่า IQ หรือ EQ

นั่นคือเรื่องสติปัญญาทางศีลธรรม หรือ MQ-Moral Quotient ซึ่งเป็นหัวข้อที่เราอยากพูดถึงว่า ในอนาคตสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ศีลธรรมอาจช่วยค้ำชูให้เขาอยู่กับความทุกข์ได้ แบบที่ไม่ทรมานจนเกินไป 

สติปัญญาทางศีลธรรม มีนักจิตวิทยาคนสำคัญที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ คือโรเบิร์ต โคลส์ (Robert Coles) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Moral Intelligence of Children: How to Raise a Morel Child (1998) เขายังเป็นจิตแพทย์ไม่กี่คนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ (ในสาขา General non-Fiction) ในปี 1973 เขียนหนังสือชุดที่โด่งดังมากเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก “Children of Crisis” อีกด้วย โดยรวมแล้วโคลส์ให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการปลูกฝังสติปัญญาทางศีลธรรมให้กับเด็กๆ เพราะเขาค้นพบว่าพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความฉลาด อารมณ์ สังคม คณิตศาสตร์ ภาษา ดนตรีหรือพัฒนาการทางสรีระ อาจมีความสามารถไม่เท่ากันในเด็กแต่ละคน แต่สิ่งที่ครอบครัวทุกครอบครัวควรให้ความสำคัญและพัฒนาให้กับเด็กอย่างมาก ไม่น้อยกว่าความเก่งเรื่องสติปัญญาก็คือ การลดระดับความเห็นแก่ตัว หมายถึงการมีคุณธรรมในใจ 

การลดระดับความเห็นแก่ตัว หรือการมีคุณธรรมในใจ  เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมโดยรวมอยู่ด้วยกันได้ท่ามกลางความแตกต่างของเด็กที่เติบโตขึ้นมาในสังคมที่พื้นฐานทางครอบครัวไม่เหมือนกัน นั่นเป็นหัวใจของการให้ความสำคัญในความฉลาดใหม่ในโลกที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมมีมากขึ้นทุกที 

แล้วหากเราต้องการพัฒนาสติปัญญาด้านศีลธรรมให้กับเด็ก เราจะเริ่มจากอะไรก่อนดี

โคลส์แนะนำว่าแท้จริงแล้วในสถาบันครอบครัวโดยมากมีการสอนเรื่องศีลธรรมพื้นฐานอยู่แล้ว เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การไม่ทำร้ายผู้อื่น การไม่โกหก ฯลฯ ซึ่งเป็น กรอบจารีตประเพณีของแต่ละสังคม ที่ถ่ายทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น จากปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ สู่ลูกหลานและเป็นสิ่งที่เด็กๆ ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เพราะเมื่อเราเกิดมา สมองยังคงว่างเปล่าและใช้เวลาในการพัฒนา ช่วงเวลานี่แหละที่เป็นช่วงทองของการดาวน์โหลดข้อมูลใส่เข้าไปในสมองของเด็ก  

มีกรณีศึกษาที่เด็กถูกทิ้งอยู่ในป่าและเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเอง หรือด้วยฝูงสัตว์ป่า หรือโตขึ้นมาโดยไม่มีมนุษย์คยนอื่น พบว่าคนๆ นั้นจะไม่สามารถพัฒนาความเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้เลย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าหากเด็กไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องสติปัญญาทางศีลธรรมในอนาคตพวกเขาอาจไม่เข้าใจในความสัมพันธ์และความสำคัญของจิตสำนึกทางสังคมเลยก็เป็นได้ 

เซอร์จอห์น เอคเคิลส์ นักประสาทวิทยา ผู้เคยได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ เคยบอกว่าการเรียนรู้ทางศีลธรรมเปรียบได้กับการเรียนรู้ทางภาษา หมายถึงวิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์มีความพร้อมในการพัฒนาภาษาซึ่งนั่นทำให้เด็กพร้อมที่เรียนรู้เกี่ยวกับคุณธรรมด้วยเช่นกัน

เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) นักปรัชญาชื่อดังของสหรัฐอเมริกา มีความเชื่อที่สอดคล้องกันว่า ทุกคนถูกต้องเสมอ แต่อยู่ที่การสั่งสมและเรียนรู้ต่างหากที่ทำให้เราเปลี่ยนไป บอกว่าการเริ่มต้นปลูกฝังสติปัญญาทางศีลธรรมให้กับเด็กนั้น สามารถเริ่มจากเรื่องง่ายๆ นั่นคือ 

ต้องให้เขาเรียนรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ยกตัวอย่างเช่น

เด็กไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามีดเป็นของมีคมสามารถทำให้เกิดอันตรายได้ ผงซักฟอกกินไม่ได้ หรือการใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้เป็นคุณค่าพื้นฐานทางสังคมที่พ่อแม่ทุกคนต้องสอน เด็กจำเป็นต้องได้รับการปลูกฝัง และเตรียมพร้อมเมื่อเขาต้องเข้าสู่สังคมที่ใหญ่กว่าม เรื่องเหล่านี้พ่อแม่ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการยัดเยียดทางศีลธรรม 

มีการทดสอบว่าเด็กที่เรียนรู้ที่จะรอคอยไม่แสดงความเกรี้ยวกราดทันที หรืออยากได้อะไรก็ต้องได้ทันที คิดก่อนทำเพราะกลัวว่าสิ่งที่ทำจะไปกระทบให้คนอื่นเดือดร้อน เด็กเหล่านี้มักมาจากครอบครัวที่พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวเอาใจใส่ดูแล และให้คำสั่งสอนเรื่องสติปัญญาทางศีลธรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก และสอ่งที่เป็นสะพานเชื่อมได้ดี เรียบง่ายและราคาถูกที่สุดคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง 

การเล่านิทานให้ลูกฟัง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการได้สอนลูก โดยเฉพาะในเจ็ดปีแรกของการเติบโต การเล่านิทานส่งผลอย่างมากกับความคิด มหาตะมะคานธีเคยกล่าวไว้ถึงความทรงจำของท่านในวัยเด็ก การเล่านิทานของแม่มีผลกับเขาอย่างมากเมื่อเขาโตขึ้น

โดยเฉพาะนิทานเรื่องของกษัตริย์หริจันทร์ผู้ยึดมั่นเรื่องความจริงและเรื่องของเด็กยอดกตัญญู การเล่านิทานนอกเหนือจากพ่อแม่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกแล้ว ยังสามารถใช้เวลาที่ลูกมีสมาธิอย่างสูงสุดนี้สอดแทรกคุณธรรมหลายอย่างเข้าไปในขณะเล่าเรื่อง ควรเลือกนิทานที่มีมีเรื่องราวดีๆ ให้เขาฟังได้ พยายามให้ให้เด็กๆ เห็นว่าความเห็นใจ ใส่ใจคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีคุณค่าและพ่อแม่ก็ภูมิใจที่ลูกเป็นแบบนั้น

การศึกษาในประเทศสวีเดน ซึ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการปลูกฝังพลเมืองและการสร้างจิตสำนึกร่วมทางสังคม (ซึ่งก็คือการสร้างสติปัญญาทางศีลธรรมอย่างหนึ่ง) กระนั้นก็ยังมีปัญหาเด็กเกเร ไม่เชื่อฟังและทำผิดกฎหมาย หรือกระทั่งติดยาเสพติด สวีเดนจึงทำการวิจัยและได้ข้อสรุปออกมาว่า บรรยากาศในบ้านมีอิทธิพลอย่างมากกับความประพฤติของเด็ก

พ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดี แทบไม่ต้องสอนลูก ลูกก็จะเห็นเป็นแบบอย่างและทำตามอุปนิสัยของผู้ใหญ่ภายในบ้านนั่นคือสรุปได้ว่าบ้านและพ่อแม่เป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างสติปัญญาของเด็ก เป็นเทคนิคที่เรียกว่าความรักและวินัย” (Love and Law) การฝีกอย่างมีวินัยเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ไม่ควรบีบบังคับ หรือตั้งกฎเกณฑ์มากจนเกินไป จนทำให้เด็กรู้สึกขาดเสรีภาพในการแสดงออก พ่อแม่ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าความคงเส้นคงวาอย่ากดดันแต่ให้ทำสม่ำเสมอ

ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไรหรือคุณเป็นพ่อแม่ที่นับถือศาสนาที่แตกต่างกัน หรือคุณไม่ได้ส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง การสอนสติปัญญาทางศีลธรรม มีหลักไม่แตกต่างจากแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์และของทุกศาสนาที่สอนกันมานับพันปี นั่นก็คือ การมีเมตตา มีความรักต่อทุกสรรพสิ่ง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น นี่คือพื้นฐานของคุณค่าแห่งการเป็นมนุษย์ เพราะท้ายที่สุดแล้วการเป็นคนฉลาด การเป็นคนอารมณ์ดีแต่ไม่เข้าใจความเป็นไปของโลก ไม่เอื้อเฟื้อต่อคนรอบข้าง หรือเห็นแก่ตัว มีความโลภเป็นที่ตั้ง เราคงไม่สามารถบอกใครได้ว่า เราได้ส่งต่อคุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้กับสังคมได้ดีแล้ว 

 

อ้างอิง

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI