มหาวิทยาลัยไหนเป็นที่ต้องการของเหล่าซิลิคอนวัลเลย์มากที่สุด

06 ธันวาคม 2023
|
1518 อ่านข่าวนี้
|
13



มหาวิทยาลัยไหนเป็นที่ต้องการของเหล่าซิลิคอนวัลเลย์มากที่สุด

แอปเปิ้ล (Apple) เมต้า (Meta บริษัทแม่ของเฟสบุ๊ค) อัลฟาเบท (Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิ้ล) แอมะซอน (Amazon) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ชื่อเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับต้นๆ ของโลก และเป็นบริษัทในฝันที่ใครหลายคนอยากเข้าไปทำงาน

บริษัทที่ว่ามา ทั้งหมดล้วนต่างมีสาขาหรือสำนักงานใหญ่อยู่ในซีลิคอนวัลเลย์ ซานฟรานซิสโก และขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ทำงานในฝันของเด็กรุ่นใหม่ ที่สนใจงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งชื่อเสียงของบริษัท ทั้งโอกาสในการเติบโต สวัสดิการที่ว่ากันว่าดีเยี่ยม ไม่แปลกใจเลยที่นักศึกษาไทยที่มีโอกาสไปศึกษาต่อในสาขาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ข้อมูลหรือ วิศวกรรมในสาขาต่างๆ ในอเมริกา จะมองเป้าหมายไปที่บริษัทชื่อดังเหล่านี้

แต่ในความเป็นจริง การจบในสาขาที่เกี่ยวข้อง จบในมหาวิทยาลัยชื่อดัง ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีเสมอไปว่าคุณจะได้เข้าทำงานในบริษัทเหล่านี้ เพราะจากข้อมูล ก็พบว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ได้รับคนที่จบจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลกเสมอไป

ปี 2017 บริษัทจัดหางานในซาน ฟรานซิสโก ชื่อไฮริ่งโซล์ฟ (Hiringsolveตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับงานเก็บข้อมูลเล็กๆ จากการจ้างงาน โดยอาศัยโพรไฟล์ของผู้สมัครงานกว่า 10,000 คน ที่ยอมให้บริษัทเปิดเผยตัวตน ในช่วงปี 2016-2017 ที่สนใจทำงานในบริษัทเทคโนโลยี และถูกจ้างงานในช่วงปี 2016 จนกระทั่งถึง 2017

พบว่ามหาวิทยาลัย 25 แห่ง ที่ถูกจ้างงานในอุตสาหกรรมมากที่สุด 5 อันดับแรกนั้นไม่มีมหาวิทยาลัยดังๆ หรือที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีค”  (Ivy League) อยู่เลย ชื่อที่เราคุ้นเคยอย่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล  มหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตัน  มหาวิทยาลัยบราวน์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยคอร์แนล มหาวิทยาลัยดาร์ทเมาธ์หรือมหาวิทยาลัยเพนซิลเวอร์เนีย ก็ไม่ติดใน 5 อันดับแรก  

ทำถึงเป็นเช่นนั้น

สิบอันดับแรกของมหาวิทยาลัยที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีให้ความสนใจ 
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีให้ความสนใจที่จะจ้างงานศิษย์เก่าที่จบมาจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้มากที่สุดในปี
2017 มีดังนี้

  1. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์คเลย์ (University of California, Berkeley)
  2. มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University)
  3. มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลลอน (Carnegie Mellon University)
  4. มหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย (University of Southern California)
  5. มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน (The University of Texas at Austin)
  6. สถาบันเทคโนโลยี จอร์เจียเทค (Georgia Institute of Technology)
  7. มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ วิทยาเขตเออร์บาน่า แชมเปญ (University of Illinois at Urbana-Champaign)
  8. มหาวิทยาลัยซาน โจเซ่ (San Jose State University)
  9. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตแซน ดิเอโก้ (University of California, San Diego)
  10. มหาวิทยาลัยแอรืโซน่า (Arizona State University)  

จะเห็นว่าสิบอันดับแรกมีมหาวิทยาลัยระดับท็อปอยู่สองแห่ง คืออันดับหนึ่งและสอง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะทั้งเบิร์กเลย์และสแตนฟอร์ดมีคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่โดดเด่นในเขตเบย์เอเรีย

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ศิษย์เก่าหลายๆ คนที่จบจากมหาวิทยาลัยสองแห่งนี้ต่างวนเวียนและมีบทบาทอย่างสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของซิลิคอน วัลเลย์ เช่น โจ เฮนเนสซี่ (Joe Hennessy) ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่เป็นที่รู้จักกันดีในซิลิคอน วัลเลย์ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์อยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ หรือ อีวาน สไปเกิ้ล (Evan Spiegle) ผู้ก่อตั้งสแนปแชท (Snapchat) ก็จบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ฉะนั้นแล้วนอกเหนือจาก ความเก่งของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย สายสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับผู้ประกอบการ ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่ฝ่ายบุคคลหรือคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจจะรับพนักงานที่จบจากมหาวิทยาลัยแห่งไหนบ้างเข้ามาทำงาน หลักเกณฑ์อย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมและได้รับความน่าเชื่อถือมากก็คือ บริษัทเหล่านี้มักมองหารุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันก่อนหรือมหาวิทยาลัยนั้นๆ มีการทำโครงการบางอย่างร่วมกัน เช่น โครงการรับนักศึกษาเข้ามาฝึกงาน หรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้านต่างๆ ที่ทำต่อเนื่องกันมา เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักเขียนโปรแกรม นักพัฒนาแอปพลิเคชัน นักออกแบบ นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์ เหล่านี้ล้วนเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน ฉะนั้นบริษัทใหญ่ๆ และมหาวิทยาลัยต่างก็พยายามที่จะทำงานร่วมกันเพื่อคัดเลือกมือดีที่สุดเข้ามาทำงาน 

อีกประการหนึ่งหากเราดูจากการจัดอันดับ 10 มหาวิทยาลัยที่อยู่ในลิสต์ ข้อได้เปรียบของมหาวิทยาลัยในสิบอันดับแรกก็คือขนาดของมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งมหาวิทยาลัยมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่นักศึกษาจะได้งานมากขึ้นเท่านั้นนั่นเอง

มหาวิทยาลัยแอริโซนามีนักศึกษากว่า 72,000 คน มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสตินมีนักศึกษาอยู่กว่า 51,000 คน เฉพาะมหาวิทยาลัยซาน โจเซ่ (อันดับ 8) มีนักศึกษาที่จบการศึกษาด้านวิศวกรรมกว่า 7,000 คนต่อปี ด้วยจำนวนขนาดนี้ ทำให้ทั้งบริษัทและมหาวิทยาลัยมีตัวเลือกในการเลือกพนักงานที่เหมาะกับธุรกิจของพวกเขาจริงๆ 

และเมื่อดูในอันดับถัดๆ ไปในอันดับ 11-25 เราจะเริ่มเห็นมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับไอวี่ลีค โผล่มาบ้าง เช่น มหาวิทยาลัยคอร์แนลอยู่อันดับ 15 เอ็มไอที (Massachusetts Institute of Technology) ในอันดับที่ 20 มหาวิทยาลัยเพนซิลเวอร์เนียอยู่ในอันดับที่ 25 ซึ่งต่ำกว่ามหาวิทยาลัยเล็กๆ อย่าง มหาวิทยาลัยซานตา คราร่า ซึ่งอยู่ในอันดับ 21 เสียอีก

ข้อมูลนี้ทำให้เราเห็นว่า ความสำเร็จของการศึกษาโดยเฉพาะในมหาวทยาลัยชื่อดังไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันเสมอไปว่าคุณจะได้งานในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เพราะบริษัทเหล่านี้อาจมองหาพนักงานที่ไม่ได้เพียงแค่เก่งหรือจบจากมหาวิทยาลัยดังๆ เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ฝ่ายบุคคลต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น เรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางไปทำงาน (แม้ว่าแนวโน้มนี้อาจลดลง แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่บริษัทใหญ่ๆ ให้ความสำคัญ ปัจจุบันบริษัทอย่างอัลฟาเบทหรือเมต้า เริ่มเรียกพนักงานของบางส่วนกลับเข้ามาทำงานในบริษัท โดยมีสิ่งจูงใจเช่น อาหารกลางวันและเครื่องดื่มฟรี) แนวโน้มการเปลี่ยนงานของพนักงานในอนาคต (จากข้อมูลพบว่านักศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีคมีแนวโน้มในการเปลี่ยนงานมากกว่า) หรือความสัมพันธ์อันดีของบริษัทกับชุมชน (เช่น มหาวิทยาลัยซานตา คลาร่า ซึ่งอยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่ของแอปเปิ้ลเพียง 6 ไมล์ บริษัทมีความคิดเรื่องของการเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชนเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต) หรือความสัมพันธ์ของศิษย์เก่าและงานด้านการวิจัยที่บริษัทได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยนั้นๆ ต่างเป็นปัจจัยสำคัญไม่น้อยกว่าชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย และที่สำคัญมหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีค อาจไม่ได้โด่งดังในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากนักและจำนวนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเหล่านี้รับได้ต่อปีเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็ไม่ได้มาก

แล้วถ้าหากเราถอยห่างออกมาจากซิลิคอน วัลเลย์และมองภาพกว้างขึ้นว่า บริษัทบิ๊กเนม และแสนจะไฮเทคเหล่านี้ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วอเมริกาและทั่วโลก ไม่ได้มีแต่เฉพาะซิลิคอน วัลเลย์ล่ะ ข้อมูลที่ได้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 

มหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ได้รับการจ้างงานจากบริษัทเทคโนโลยีระดับท็อปของโลก

ในปี 2019 ที่ผ่านมา เพย์ซา (Paysa) บริษัทจัดหางานนำเอาใบสมัครงานกว่า 286,000 ชิ้น มาวิเคราะห์ว่ามีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ได้รับการจ้างงานจากบริษัทเทคโนโลยีระดับท็อปของโลก

  • อันดับหนึ่ง ตกเป็นของ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (The University of Washington) ในซีแอทเทิล แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากซีแอทเทิลเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่ง ก็คือแอมะซอนและไมโครซอฟท์ มหาวิทยาลัยมีสายสัมพันธ์อันดีในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐเมืองที่ได้รับการยอมรับและเป็นแหล่งหาคนเก่งๆ ของสองยักษ์ใหญ่ โดยไมโครซอฟท์รับพนักงานที่จบมาจากที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันมากที่สุด  
  • อันดับถัดมา เป็นของ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน ในพิตช์เบิร์กใครหลายคนอาจเริ่มคุ้นชื่อกับมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้มาบ้าง เนื่องจากมีการจัดตั้งสาขาในประเทศไทย โดยร่วมมือกับสถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดสอนบางสาขาวิชาที่กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนและโดดเด่นอย่างมากเรื่องหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
  • อันดับถัดมา เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าง สแตนฟอร์ด เบิร์กเลย์และเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ซึ่งทั้งสามมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย

บริษัทไหน จ้างพนักงานจากมหาวิทยาลัยไหนมากที่สุด 

ในปี 2019 ที่ผ่านมา เพย์ซา (Paysa) บริษัทจัดหางานนำเอาใบสมัครงานกว่า 286,000 ชิ้น มาวิเคราะห์ว่า บริษัทไหน จ้างพนักงานจากมหาวิทยาลัยไหนมากที่สุด 

หากเข้าไปดูสถิติว่าบริษัทเทคโนโลยีไหนจ้างคนที่จบจากมหาวิทยาลัยไหนมากที่สุดในปีที่แล้ว จะพบว่า แอปเปิ้ล อัลฟาเบท เมต้า และสแนปแชท (Snapchat) จ้างงานจากคนที่จบจาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มากที่สุด (ราว 3-5% ของพนักงาน) สแนปแชท นั้นจ้างพนักงานที่จาก สแตนฟอร์ด สูงมากที่สุดคือ 16% ส่วนหนึ่งมาจากหนึ่งในผู้ก่อตั้ง อีวาน สไปเกิล จบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ไมโครซอฟท์และแอมะซอนจ้างพนักงานที่จบมาก มหาวิทยาลัยวอชิงตัน มากที่สุด (5-6%)  ส่วนแอปพลิเคชันอย่าง เยลป์ (Yelp) ทวิตเตอร์ (Twitter) และลิงค์อิน (LinkdIn) จ้างพนักงานที่จบจาก มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ มากที่สุดราว 8-10% ของพนักงานใหม่

พินเทอเรส (Pinterest) รักใคร่กับ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน พวกเขาจ้างพนักงานที่จบจากที่นี่มากที่สุด (แต่ผู้ก่อตั้งทั้งหมดจบจากมหาวิทยาลัยเยล) คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของพนักงาน  หากดูให้ลึกลงไปอีก ดูว่าบริษัทไหนกันที่ได้นักศึกษาระดับหัวกะทิเหรียญทอง ไปทำงานด้วยมากที่สุด ก็จะพบว่าเป็น อัลฟาเบธ ที่สามารถคว้าตัวนักศึกษาระดับหัวแถวได้มากที่สุด รองลงมาก็คือ ไมโครซอฟท์ แอมะซอน ซิสโก้ (Cisco) และเจนเนอรัล มอเตอร์ (GM-General Motors)

จะเห็นได้ว่ามิติของการหางานและได้งานทำในสหรัฐอเมริกานั้นมีหลากหลายมิติมาก ท้ายที่สุดแล้วเราอาจไม่สามารถตัดสินการได้งานในบริษัทเหล่านี้ได้แค่เพียงว่าเราจบจากมหาวิทยาลัยไหนเพียงเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่เราต้องคิดถึง

สิ่งสำคัญมากกว่าที่ต้องคิด หากต้องการวางแผนการศึกษาให้กับลูกๆ คือให้มองความสนใจของลูกๆ ก่อน จากนั้นลองดูว่ามันเป็นงานที่มีแนวโน้มจะโดนหุ่นยนต์แทนที่ไหม แล้วดูว่าหากลูกๆ เป็นคนที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยไหนที่เหมาะมากที่สุด

เมื่อเจอมหาวิทยาลัยที่ใช่ และได้เรียนในสิ่งที่ลูกๆ ชอบ แล้วงานที่ดีจะมาหาเอง 

 

อ้างอิง


 

 

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI