Notifications

You are here

บทความ

FINANCIAL LITERACY: ทักษะทางการเงิน คนไทยควรรู้สู้...

15 เมษายน 2024 293 อ่านข่าวนี้ 2 สัปดาห์ก่อน 3


ปัจจุบัน คำว่า Financial Literacy หรือทักษะทางการเงิน มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่เฉพาะในแวดวงการเงิน แต่รวมถึงแวดวงอื่นๆ ด้วย เหตุผลเนื่องจากเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้คนเราใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงในอนาคต ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ และมีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้น 


โดยเฉพาะท่ามกลางโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ทักษะทางการเงินก็ยิ่งมีความสำคัญ ซึ่งสำหรับคนไทย แม้ผลสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานสถิติแห่งชาติ จะพบว่า การพัฒนาทักษะทางการเงินดีขึ้น จาก 67.4% ในปี พ.ศ.2563 เป็น 71.4% ในปี พ.ศ.2565 หากก็ยังมีการออมน้อย ทำให้เกิดภาวะหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าตกใจ โดยภาพรวมในปี พ.ศ.2566 สูงถึง 16.2 ล้านล้านบาท เท่ากับระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ที่ 91.8 % ติดอันดับ 6 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงที่สุดในโลก (ข้อมูลจาก Trading Economics 2566) อีกทั้งสถานะการเงินในวัยผู้สูงอายุยังเปราะบางมาก คือมีเงินออมที่ 54.3% เท่านั้น และเป็นเงินออมที่ต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งไม่พอต่อการดำรงชีพหลังเกษียณอายุอย่างแน่นอน ขณะที่อีก 45.7% ไม่มีเงินออมเลย เพราะขาดการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่สังคมสูงวัย 


ดังนั้น การส่งเสริมทักษะทางการเงินในสังคมไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อช่วยแก้ปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนท่วมท้น และสร้างความมั่นคงในวัยเกษียณให้กับทุกคน

 

ความหมายและองค์ประกอบของ FINANCIAL LITERACY


 Financial Literacy หรือทักษะทางการเงิน หมายถึงความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการเงินในทุกมิติ ตั้งแต่ภาพใหญ่อย่างการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย การกำหนดเป้าหมายในการมีเงิน การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ การกู้ยืม จนถึงการวางแผนเรื่องภาษี เพื่อช่วยให้เกิดการตัดสินใจทางการเงินที่ดี และส่งผลให้บุคคลมีสุขภาพทางการเงินที่ดีด้วย ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 องค์ประกอบ ได้แก่

  • ความรู้ทางการเงิน
    คือความรู้ในการคิดคำนวณดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยทบต้น ความรู้เรื่องเงิน
    เฟ้อ การกระจายความเสี่ยง และผลตอบแทนด้านการลงทุน ซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินใจด้านการเงินของแต่ละบุคคล  


  • พฤติกรรมทางการเงิน
    คือพฤติกรรมการใช้จ่ายและการออม รูปแบบการเก็บออม การแก้ปัญหาทางการเงิน 
    การไตร่ตรองก่อนซื้อ การชำระค่าใช้จ่ายตรงเวลา การเปรียบเทียบศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ และการตั้งเป้าหมายทางการเงินระยะยาว


  • ทัศนคติทางการเงิน
    คือความคิดเห็นด้านการเงิน เช่น มีความสุขกับการใช้เงินหรือการออมเงิน
    , มีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้หรือวันข้างหน้า, คิดวางแผนเพื่อมีเงินในอนาคตหรือรีบใช้ในปัจจุบัน


FINANCIAL LITERACY ที่คนไทยควรรู้และสร้างได้ 


แม้คนไทยส่วนใหญ่จะมองทักษะทางการเงินเป็นเรื่องยาก แต่ก็ควรต้องเรียนรู้ โดยสามารถสร้างได้ ด้วยการแยกย่อยหัวข้อเป็นแต่ละประเภท เพื่อให้ง่ายต่อการเริ่มต้นแล้วค่อยๆ พัฒนาต่อไป ดังนี้

  1. การจัดการทรัพย์สิน และรายรับ-รายจ่าย
    เป็นการฝึกทำรายรับ-รายจ่าย ตรวจสอบทรัพย์สินที่มี และลงบันทึกให้เรียบร้อย จะทำให้เห็นถึงรายรับที่ได้ รายจ่ายที่ต้องจ่ายไป จำนวนหนี้สินที่มี และเงินจากส่วนไหนที่จะนำมาปิดหนี้ให้เร็วขึ้นได้ ก็จะทำให้มีโอกาสออมเงินได้มากขึ้น 


  1. การวางแผนเรื่องภาษี
    เมื่อมีรายได้ก็ต้องมีภาษีตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การฝึกหัดวางแผนเรื่องภาษีให้
    ดี คำนวณภาษีเป็นและแม่นยำ จะช่วยให้ไม่ต้องเสียภาษีมากเกินไป และมีเงินเก็บออมมากขึ้น

  1. การมีทัศนคติทางการเงินที่ดี
    ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติในการศึกษาเรื่องการลงทุน
    , การตัดสินใจในการลงทุน, ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน หรือความเชื่อต่อความสามารถจัดการด้านการเงินในชีวิตของตนเองได้

  1.  การบริหารความเสี่ยง
    เป็นการวางแผนค่าใช้จ่ายและการเกษียณอายุ ตลอดจนการเก็บออมและการเลือก
    การลงทุนอย่างเหมาะสม เช่น การลงทุนในกองทุนรวม พันธบัตร หุ้นกู้ โดยตระหนักดีว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น หากลงทุนแล้วขาดทุน ต้องรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เดือดร้อน

  1. การหาความรู้ด้านการลงทุน
    ทุกวันนี้การลงทุนมีหลากหลายมาก และแต่ละประเภทต้องใช้ข้อมูลความรู้
    ในการลงทุนไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังมีความเสี่ยง จึงต้องมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา ทั้งที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อจะสามารถเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงในการขาดทุน 

  1. การเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ นอกจากมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยัง
    ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการเงิน การเก็บออม และการลงทุนได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้นด้วย ดังนั้น การเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีและหมั่นศึกษาเพิ่มเติมเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างทักษะทางการเงินในโลกสมัยใหม่ เพื่อให้เท่าทันต่อความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน และการเก็บออมที่คุ้มค่า 


เพราะฉะนั้น หากคนไทยเริ่มเรียนรู้และสร้างทักษะทางการเงินข้างต้นได้ ตั้งแต่ในวัยเรียน หรือวัยทำงาน-ก่อนเกษียณอายุ 20 ปีขึ้นไป (เกณฑ์เวลาตามการประเมินจากหลักสูตร ออมสุขภาพ รับวัยอิสระ โดยเครือข่ายคนไทยไร้พุงฯ และ สสส.) โอกาสเสี่ยงต่อภาวะหนี้ครัวเรือนสูงก็จะน้อยลง และช่วยให้มีความพร้อมก้าวสู่สังคมสูงวัยได้อย่างมั่นคงมากขึ้น




#financialliteracy #ทักษะทางการเงิน #ความรู้ทางการเงิน #พฤติกรรมทางการเงิน #ทัศนคติทางการเงิน #ทักษะทางการเงินที่คนไทยควรรู้ #okmd #knowledgeportal #กระตุกต่อมคิด



ข้อมูลอ้างอิง
www.bot.or.th/content/dam/bot/image/research-and-publications/2565ThaiFLsurvey.pdf
www.krungsri.com/th/plearn-plearn/5-skills-money-for-invest 
https://tdri.or.th/2020/08/thailand-financial-literacy/
https://tradingeconomics.com/country-list/households-debt-to-gdp 
https://tradingeconomics.com/thailand/households-debt-to-gdp

URL อ้างอิง:

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้ (Cookie) เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ นโยบายคุกกี้
ยอมรับ