เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 การศึกษาอเมริกาจะเปลี่ยนไปอย่างไร

เมื่อโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสำดับที่ 46 จากพรรคเดโมแคตรต โทรศัพท์แสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันที่เอาชนะกมลา แฮร์ริส ผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลำดับลำดับถัดไป และก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีตามกฎหมาย ในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ.2568 นาทีนั้นเท่ากับเป็นการยืนยันเรียบร้อยแล้วว่าทิศทางนโยบายด้านการศึกษาของสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร

แนวทาง “รื้อกระทรวงศึกษาธิการ”แบบทรัมป์ สิ่งนี้จะเป็นไปได้แค่ไหน
บทความในนิตยสาร TIME ชื่อ What Trump’s Win Means for Education พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ได้กล่าวว่าการกลับมาในฐานะประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์ว่าอาจทำอนาคตการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงนับจากนี้ไป โดยระหว่างหาเสียง ทรัมป์ได้เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะยุบกระทรวงศึกษาธิการ ตัดเงินทุนของรัฐบาลกลางออกไปจากโรงเรียนที่สอนทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์ หรือ Critical Race Theory (CRT) และยังห้ามนักกีฬาหญิงข้ามเพศจากการเข้าร่วมกีฬาของโรงเรียน ที่จะนำมาซึ่งการปรับตัวครั้งใหญ่ในภาคการศึกษาที่ดำเนินมาเป็นเวลานาน
จากการได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวอเมริกันครั้งนี้ โฆษกของทีมทรัมป์ยังได้กล่าวกับนิตยสาร TIME ด้วยว่าคำสัญญาในเส้นทางการรณรงค์หาเสียงจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน เช่นเดียวกับที่ voathai.com วิทยุเสียงอเมริกา สำนักงานข่าวภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทยที่ได้กล่าวถึงแนวโน้มนโยบายการศึกษาของรัฐบาลชุดใหม่ว่ามาพร้อมการเรียกร้องให้มีการถอนงบประมาณช่วยเหลือ “โรงเรียนหรือโครงการ(ศึกษา)ใด ๆ ก็ตามที่สนับสนุนทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์ แนวคิดด้านเพศ หรือแม้แต่สิ่งที่ระบุว่าเป็นเนื้อหาด้านการเมือง เพศ หรือเชื้อชาติ อันไม่เหมาะสมให้กับเด็ก ๆ ชาวอเมริกัน” ทั้งยังมีเท็ด มิทเชลล์ American Council on Education หรือประธานสภาการศึกษาอเมริกาที่กล่าวยืนยันว่าทุกนโยบายสามารถเป็นไปได้สำหรับ ทรัมป์ เพียงแค่อาจต้องพิจารณาลึกลงไปว่าในบางรายละเอียดอาจส่งผลกระทบกับพรรครีพับลิกันเองด้วยหรือไม่ และอย่างไร
นโยบายการศึกษาของทรัมป์กับงานด้านการศีกษาในประเทศไทย
แม้จะนโยบายการศึกษาใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์จะให้ความสำคัญกับระบบการศึกษาภายในประเทศเป็นหลัก ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แต่ยังมีแง่มุมที่เชื่อมโยงถึงกันได้ และต้องเร่งวิเคราะห์เพื่อตั้งรับไว้ นำไปสู่การวิเคราะห์นโยบาย America First โดยฝ่ายนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศของผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน สอวช. ซึ่งได้กล่าวว่าในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ว่านโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิทยาศาสตร์จะได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาในสมัยที่ทรัมป์เคยเป็นประธานาธิบดี ในช่วง ค.ศ. 2017-2021
ทั้งการตัดงบประมาณวิจัยและพัฒนาและการปรับเปลี่ยนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ที่ทำงาน “การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะกระทบต่อการดำเนินการทูตวิทยาศาสตร์ของสหรัฐและการสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศที่มีสหรัฐเป็นแกนนำ” ตามรายงานสำนักข่าวไทยโพสต์ หัวข้อ สอวช. วิเคราะห์ 'ทรัมป์' คืนทำเนียบขาว กระทบวงการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม
ทั้งนี้ ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ยังได้แสดงมุมมองว่า ไทยเราจะต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์โดยการดำเนินนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปในทิศทางกระชับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศภาคี ทั้งในและนอกภูมิภาค เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่อาจจะเกิดขึ้นหากสหรัฐอเมริกาลดบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในสาขาพลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีความสำคัญมากขึ้นและเกี่ยวข้องกับการศึกษา สำรวจ วิจัย ไปจนถึงพัฒนา
เรียนรู้สถานการณ์โลก ก้าวสู่ทิศทางที่สร้างโอกาส
ในภาพรวมสามารถสรุปได้ว่าสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสำดับที่ 47 และสมัยที่ 2 จะพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการศึกษา ด้วยการลดการให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลายทั้งทางเพศและเชื้อชาติ ลดงบประมาณ เน้นการทำงานที่กระชับมีประสิทธิภาพมากขึ้น บนเกณฑ์ที่ว่าชาวอเมริกันต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่งก่อนใคร ซึ่งย่อมส่งผลกระทบแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งไม่มากก็น้อยต่อนานาประเทศรวมถึงประเทศไทย
เห็นได้ว่าการติดตามและเรียนรู้สถานการณ์โลก โดยเฉพาะเกี่ยวกับประเทศมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในการกระตุกต่อมคิด วิเคราะห์ เตรียมพร้อม และปรับตัวเพื่อให้เราและประเทศไปต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการกำลังคนทักษะสูง (High-Skilled Workforce) การต่อยอดด้วยความคิดสร้างสรรค์ การให้ความสำคัญกับงานด้านการวิจัย ท่ามกลางการแข่งขันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวินาที
- รู้หรือไม่ รัฐบาลทรัมป์เอาใจผู้ปกครองด้วยขยายสิทธิ์การดูแลบุตรหลาน
ในรัฐที่มีฐานเสียงเป็นรีพับลิกัน ผู้ปกครองจะเข้ามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยทรัมป์กล่าวว่าจะนำร่างพระราชบัญญัติสิทธิของผู้ปกครองมาใช้ ดำเนินการให้ผู้ปกครองสามารถเลือกตั้งผู้อำนวยการโรงเรียน ประเด็นนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสั่งห้ามหรือสั่งแบนหนังสือเรื่องความหลากหลายทางเพศ และกฎหมาย "Don't Say Gay" ในรัฐต่างๆ เช่น เท็กซัสและฟลอริดา - รู้หรือไม่ กระทรวงศึกษาธิการ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1980
มีหน้าที่หลายอย่าง เช่น กำหนดความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางผ่าน Title I ที่ให้เงินทุนแก่รัฐและท้องถิ่นสำหรับโรงเรียน, ให้บริการครอบครัวที่มีรายได้น้อย, แจก Pell Grants แหล่งเงินทุนของรัฐที่มอบให้นักเรียนที่ต้องชำระค่าเล่าเรียนในวิทยาลัย และควบคุมการผ่อนผันเงินกู้นักเรียนผ่านโปรแกรม Public Service Loan Forgiveness หรือแผนการชำระคืนตามรายได้ที่มี
#โดนัลด์ทรัมป์ #ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา #การศึกษา #ทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์ #ความหลากหลาย #CriticalRaceTheory #Diversity #education #KnowledgePortal #กระตุกต่อมคิด #OKMD
ข้อมูลอ้างอิง : www.edweek.org, time.com, www.theguardian.com, www.voathai.com และ www.thaipost.net
ภาพอ้างอิง : www.facebook.com/DonaldTrump/photos