นานาชาติกับมุมมองต่อข้อมูลที่ล้นเกินในยุค AI
ข้อมูลล้นเกินและผลกระทบจากการใช้ AI เป็นประเด็นสำคัญระดับนานาชาติ ปัจจุบันเราได้เห็น AI เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถสร้างข้อมูล วิเคราะห์ และปรับปรุงกระบวนการต่างๆ แต่ก็ทำให้มีการสะสมข้อมูลจำนวนมากจนกลายเป็นความท้าทายในการจัดการ
ข้อมูลล้นเกินในยุค AI ทำให้เกิดการจัดการข้อมูลภายในประเทศที่ไม่มีประสิทธิภาพ
นิตยสาร Forbes Thailand ได้นำเสนอข้อมูลน่าสนใจที่ว่า ปัจจุบัน Gen AI หรือ Generative AI มีผู้ใช้งานทั่วไปจำนวนมากจนกลายเป็นความนิยมในการใช้งานเทคโนโลยีนี้ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของข้อมูลที่ทำให้เกิดภาวะข้อมูลล้นเกิน มีการเติบโตเร็วเกินกว่าแนวทางการพัฒนาด้านการกำกับดูแลข้อมูลภายในประเทศ สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศ (Data Localization) เนื่องจากต้องใช้พลังการประมวลผลแบบรวมศูนย์ (Centralized Computing) สำหรับรองรับเทคโนโลยีเหล่านี้ ยังไม่นับรวมการใช้ Generative AI อย่างไม่เหมาะสมข้ามประเทศ นำไปสู่ความพยายามจัดการข้อมูลของรัฐบาลแต่ละประเทศที่มีมุมมองต่อเทคโนโลยีและได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป
'เพราะไม่สามารถอ่านบทความทั้งหมดที่ผ่านตาได้' ผู้คนจึงเป็นเหยื่อ Fake News มากขึ้น
บทความ Information Overload Helps Fake News Spread, and Social Media Knows It ค.ศ. 2020 ที่นำเสนอโดย Scientific American นิตยสารข้อมูลวิจัย แนวคิด และความรู้สำคัญด้านวิทยาศาสตร์ไปจนถึงสังคมที่เชื่อถือได้ ได้อธิบายความเสี่ยงจากข้อมูลล้นเกินไว้ว่า ‘เพราะไม่สามารถอ่านบทความทั้งหมดที่ผ่านตาได้’ ผู้คนจึงเป็นเหยื่อ Fake News ได้ง่ายกว่า โดยมีเรื่องราวของ ‘แอนดี’ เป็นกรณีศึกษา จากการที่ ‘แอนดี’ ต้องรับมือกับข้อมูลมหาศาลในช่วงสถานการณ์โรคระบาดจนทำให้เกิดความสับสนและนำไปสู่หลากหลายการแสดงออกและพฤติกรรม เพราะหลังจากเผชิญกับข้อมูลที่ท่วมล้น ในที่สุด ‘แอนดี’ ได้เลือกเชื่อข้อมูลจากคนใกล้ชิด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิด ทั้งยังเปิดทางส่งต่อให้กับอัลกอรึทึมที่กำลังทำงานหนัก ทำให้ยิ่งพบกับข้อมูลที่ผิดไปในทิศทางเดียวกัน นำไปสู่การสนับสนุนความคิดเดิมเพิ่มขึ้นอีกขั้น เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนเป็นเหยื่อ Fake News

ข้อมูลที่ล้นเกินมีแนวโน้มทำให้เสียผลประโยชน์ไปจนถึงทำให้พลาดโอกาสได้จริง
หนึ่งในกรณีศึกษาที่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับแนวโน้มที่ข้อมูลล้นเกินจะทำให้คนทั่วไปพลาดโอกาส คือ กรณีที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 2020 เนื่องจากเว็บไซต์ที่มีข้อมูลมากเกินไปทำให้สำนักงานสถิติของสหราชอาณาจักร (The Office for National Statistics - ONS) ไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจหลังจากตลาดเงินเปิดทำการได้สำเร็จ ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจถูกเลื่อนออกไปเป็น 7.00 น. และทำให้นักลงทุนจำนวนมากพลาดโอกาสที่ที่ดีกว่า ในการมีเวลาพิจารณาลงรายละเอียดข้อมูลสำคัญ เช่น การหดตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงสุดในเวลาต่อมา ก่อนเริ่มการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นลอนดอนในเวลา 8.00 น. หรือเพียงอีก 1 ชั่วโมงถัดไป กรณีดังกล่าวสามารถนำมาเชื่อมโยงได้กับข้อมูลมหาศาลที่ผลิตโดย AI ทำให้หลายข้อมูลสำคัญถูกแทนที่ด้วย Echo Chamber หรือห้องเสียงสะท้อน ในพื้นที่ที่มีคนมีความคิดเห็นคล้ายกัน
ข้อมูลที่ล้นเกินทำให้การรวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์เป็นข่าวกรองทำได้ง่ายขึ้น
บทความ ‘สายลับยุคดิจิทัล : Open-Source Intelligence (OSINT) เมื่อข่าวกรองมาจากแหล่งข่าวเปิด’ โดยสุทธิชัย หยุ่น ทางมติชนสุดสัปดาห์ พ.ศ. 2566 ได้ชี้ให้เห็นว่าในอดีตความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างอินเตอร์เน็ตมักต้องเริ่มภายในรัฐบาลก่อน แล้วจึงจะกระจายให้เอกชนใช้ แต่ปัจจุบัน AI กำลังเขย่าโลกทำให้นิยามข่าวกรองที่ต้องมีการจารกรรมหรือทำสงครามข่าวกรองเปลี่ยน
สำหรับ ‘ข่าวกรองโอเพ่นซอร์ส’ หรือ ‘Open-Source Intelligence’ ที่ย่อว่า “OSINT” ในบทความ AI Overload: Navigating the US Intelligence Community’s Data Deluge จาก Global Security Review ได้กล่าวว่าเกิดจากการเติบโตแบบทวีคูณของข้อมูลดิจิทัล การแพร่กระจายของโซเชียลมีเดีย และข้อมูลออนไลน์ในปัจจุบันที่มีมากขึ้น ทำให้ปริมาณและความหลากหลายของข้อมูลที่เข้าถึงได้ขยายตัวขึ้น ช่วยให้หน่วยข่าวกรองสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ตั้งแต่บทความข่าว โพสต์บนโซเชียลมีเดียไปจนถึงสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ และรายงานของรัฐบาล อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องมือและเทคนิคขั้นสูงเพื่อจัดการ วิเคราะห์ และดึงข้อมูล ซึ่งเวลานี้ได้ถูกนำไปใช้งานในชุมชนข่าวกรองของอเมริกา ในทางกลับกันประเทศอื่นก็สามารถเข้าถึงข่าวกรองได้ไม่ยาก ไม่ต้องพึ่งพาสายลับเพียงลงทุนและใช้เครื่องมือเทคโนโลยี

ข้อมูลที่ล้นเกินและโดยเฉพาะเนื้อหาที่สร้างด้วย AI กำลังถูกเฝ้าระวังโดยรัฐบาลหลายประเทศ
• แนวทางการควบคุมข้อมูลและเนื้อหาด้วยมาตรการและข้อบังคับของสาธารณรัฐประชาชนจีน
หนึ่งในความพยายามในการเฝ้าระวังคือการควบคุมข้อมูลและเนื้อหาด้วยมาตรการและข้อบังคับของสาธารณรัฐประชาชนจีน จากเดิมที่จีนมีมาตรการควบคุมเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวด จำกัดข้อมูลหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังเคยถูกกล่าวถึงในฐานะที่ควบคุมสื่ออย่างเคร่งครัดในอดีต ปัจจุบันในยุค AI และข้อมูลที่ล้นเกิน สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศให้แพลตฟอร์มต่างๆ ต้องตรวจสอบเนื้อหาที่สร้างโดย AI ก่อนเผยแพร่ออนไลน์ และมีป้าย ‘สร้างโดย AI’ กำกับเพิ่มหากนำไปใช้งานจริง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ กลั่นกรอง Fake News และช่วยลดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กหรือผู้ที่ขาดความรู้และความระมัดระวังในการใช้โซเชียลมีเดียที่สร้างขึ้นโดย AI ตามการนำเสนอหัวข้อข่าว China Mandates Labels for all AI-generated Content in Fresh Push Against Fraud, Fake News มีนาคม ค.ศ. 2025 โดย South China Morning Post

• แนวทางเลือกใช้กรอบการทำงานที่ยืดหยุ่นเพื่อชี้นำนวัตกรรมแทนการควบคุมของสิงคโปร์
บทความ Innovation Over Regulation: Singapore's Bold AI Strategy กันยายน ค.ศ. 2024 โดย ITBrief Asia ทำให้พบว่า ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งดำเนินการควบคุม AI สิงคโปร์กลับเลือกแนวทางที่แตกต่างออกไป แม้จะมีท่าทีที่ก้าวหน้าในแนวทางการบังคับควบคุมมาก่อน ทว่าสิงคโปร์ยังไม่ได้บังคับใช้กฎหมายหรือข้อบังคับเฉพาะที่ควบคุมเทคโนโลยี AI โดยตรง แต่กลับเลือกพึ่งพากรอบการทำงาน และแนวทางที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบพร้อมทั้งสนับสนุนให้นวัตกรรมได้เติบโต นับได้ว่าเป็นเจตนาที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ของรัฐบาลสิงคโปร์ที่มุ่งเน้นพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม และเพื่อสนับสนุนเจตนาดังกล่าว สิงคโปร์ได้แนะนำกรอบการทำงานและเครื่องมือชุดหนึ่งที่ให้คำแนะนำโดยไม่กำหนดข้อจำกัดทางกฎหมายแต่อย่างใด ได้แก่ ‘กรอบการทำงานการกำกับดูแล AI แบบจำลอง AI Verify’ และ ‘กลยุทธ์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (NAIS 2.0)’ กรอบการทำงานที่โดดเด่นที่สุดของประเทศ ที่ครอบคลุมและนำไปปรับใช้ได้ ซึ่งยังไม่ใช่การบังคับใช้ตามกฎหมายแต่อย่างใด และยังคงเป็นคำแนะนำ

แม้ข้อมูลล้นเกินจะไม่ใช่ประเด็นใหม่ในกระบวนการส่งสารและเปิดรับข้อมูลข่าวสาร แต่เมี่อมี AI ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่มาเกี่ยวข้อง ทั้งยังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคม จึงมีแนวโน้มให้นานาประเทศหันมาสนใจกับผลกระทบ รวมถึงข้อดีบางประการ เพื่อป้องกันและอุดรูรั่วของหลายอุปสรรคและนำจุดแข็งมาช่วยเสริมในการนำข้อมูลที่ล้นเกินมาปรับใช้ในมุมต่าง นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนให้เกิดการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากข้อมูลล้นเกิน ในยุคการเติบโตที่ก้าวกระโดดของ AI
อ้างอิง :
- ditp.go.th
- forbesthailand.com
- globalsecurityreview.com
- itbrief.asia
- matichonweekly.com
- scientificamerican.com
- scmp.com
- whitecase.com
- www.okmd.or.th/knowledge/The Knowledge vol.38