กาญจนบุรี

รู้อดีตผ่านร่องรอยโบราณสถานในเขต เมืองกาญจนบุรีเก่า

18 มีนาคม 2025
|
48 อ่านข่าวนี้
|
0


รู้อดีตผ่านร่องรอยโบราณสถานในเขต 

เมืองกาญจนบุรีเก่า สมัยอยุธยา – สมัยธนบุรี


ในอดีตกาญจนบุรีเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยพบหลักฐานต่อเนื่องตั้งแต่สมัยยุคหินเก่า ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ และสมัยโลหะ พบกระจายอยู่ทั่วไปตามเพิงผาถ้ำ และริมฝั่งแม่น้ำ แหล่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ แหล่งโบราณบ้านเก่าท่อยู่ริมแม่น้ำแควน้อยในเขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี เนื่องจากเป็นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์แห่งแรกที่มีการขุดค้นอย่างเป็นระบบถูกต้องตามหลักวิชาการ ต่อมาในสมัยทวารวดีต่อเนื่องถึงสมัยลพบุรี สันนิษฐานว่าเมืองกาญจนบุรีน่าจะมีการอยู่อาศัยรวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยพบหลักฐานในสมัยดังกล่าวกระจายอยู่โดยทั่วไป ในสมัยสุโขทัยเมืองกาญจนบุรีไม่ถูกกล่าวถึง แต่ในสมัยอยุธยากลับปรากฏ

กาญจนบุรีในสมัยอยุธยา
        เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านและอยู่ในเส้นทางเดินทัพระหว่างพม่าและกรุงศรีอยุธยา ทำให้เมืองกาญจนบุรีมีบทบาทเป็นเมืองหน้าด่านก่อนที่พม่าจะยกทัพเข้าตีเมืองสุพรรณบุรีและกรุงศรีอยุธยาในที่สุด แต่เมืองกาญจนบุรีครั้งนั้นตั้งอยู่ที่หมู่บ้านท่าเสา ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเก่ากาญจนบุรีในปัจจุบันประมาณ 20 กิโลเมตร แต่อย่างไรก็ตามในบริเวณเมืองเก่ากาญจนบุรีในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ที่ถนนปากแพรกสันนิษฐานว่าน่าจะมีการตั้งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เนื่องจากในสมัยอยุธยามักใช้บริเวณดังกล่าวเป็นที่รวมพลก่อนยกทัพไปต่อต้านทัพพม่า และเหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาจนถึงสมัยธนบุรี และในสมัยรัตนโกสินทร์พม่าเริ่มเปลี่ยนเส้นทางเดินทัพจากการยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์มาเป็นการยกกองทัพเรือล่องมาตามลำน้ำแควน้อยมาขึ้นที่ปากแพรก เพื่อจะได้เข้าโจมตีกรุงเทพซึ่งอยู่ต่ำลงมาจากอยุธยาได้สะดวกยิ่งขึ้น         
ปากแพรก ที่ตั้งแห่งยุคสมัย                   
        เป็นย่านประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงการหลอมรวมของวัฒนธรรมและยุคสมัยที่แตกต่างกัน เป็นจุดศูนย์กลางของความรุ่งเรืองในอดีตที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุคต่าง ๆคำว่าปากแพรกเพี้ยนมาจากภาษาจีนว่าปากเผ็ก ซึ่งแปลว่าทางแยก  บริเวณดังกล่าวเป็น ทางแยกของแม่น้ำ เพราะบริเวณตำบลนี้เป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำแม่กลอง เกิดจากการสบกันระหว่างแม่น้ำแควน้อยกับแม่น้ำแควใหญ่ ก่อนจะไหลลงอ่าวไทยที่สมุทรสงคราม  ด้วยเหตุนี้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งทัพที่ตำบลปากแพรกทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง เมืองเก่ากาญจนบุรีปรากฏบทบาทอีกครั้งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484-2488) กองทัพญี่ปุ่นได้ขอเดินทัพผ่านไปยังประเทศพม่า กาญจนบุรีจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จะเห็นได้ว่าเมืองเก่ากาญจนบุรี (ปากแพรก) เป็นเมืองที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง จากเมืองค่ายตั้งรบเปลี่ยนมาเป็นชุมชนย่านการค้าที่บทบาทอย่างชัดเจนในสมัย ร.4 โดยชุมชนปากแพรกได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอาคารร้านค้ามาเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน จากนั้นก็ได้รับอิทธิพลของรูปแบบสถาปัตยกรรมทางตะวันตก และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชุมชนปากแพรกได้กลายเป็นแหล่งซื้อขายเครื่องอุปโภคบริโภคที่ใช้ในยามสงคราม แต่ภายหลังเมื่อสงครามยุติทำให้ถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงย่านพาณิชยกรรมที่ให้บริการภายในชุมชน เนื่องมาจากการขยายตัวเมืองและการเคลื่อนย้ายศูนย์กลาง  พาณิชยกรรมไปอยู่บริเวณถนนแสงชูโต ทั้งนี้ เมืองเก่ากาญจนบุรียังคงวิถีชีวิต และรักษามรดกทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน และสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์แสดงถึงความเป็นเมืองเก่ากาญจนบุรีที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน




โบราณสถานในเขตเมืองเก่า
        ร่องรอยของแนวกำแพงดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 167 x 355 เมตร มีป้อมค่ายอยู่ทั้ง 4 มุม เป็นสภาพปัจจุบันยังคงเหลือของเมืองหน้าด่านในการสกัดกั้นการเดินทัพของพม่าซึ่งยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ตั้งแต่สมัยอยุธยานจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยอยุธยาเมืองกาญจนบุรีเก่าเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการตั้งรับทัพพม่า ที่ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ และร้างไปตั้งแต่ต้นสมัย รัตนโกสินทร์ เนื่องจากมีการย้ายเมืองลงมาตั้งตามลำน้ำแควใหญ่และลำตะเพินบริเวณ ต. ปากแพรก ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งเมือง มีการค้นพบโบราณวัตถุมากมายทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงการเป็นเส้นทางผ่านของอารยธรรมอินเดียที่มาขึ้นบกที่อ่าวเมาะตะมะ แล้วผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้าสู่ไทย นอกจากนี้ยังพบหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกาญจนบุรีกับหัวเมืองใกล้เคียง เช่น สุพรรณบุรี ราชบุรี อยุธยา ทั้งเป็นเส้นทางเดินทัพของไทยและพม่าที่สำคัญอีกด้วย พ.ศ. 2467 พระครูจวยจากวัดหนองบัว (หรือวัดศรีอุปลารามใน อ. เมืองกาญจนบุรี) เดินทางมาจำพรรษาที่วัดขุนแผนและ นำชาวบ้านออกสำรวจ พบวัดร้างถึงเจ็ดแห่ง ท่านจึงตั้งชื่อวัดให้สอดคล้องกับวรรณคดีพื้นบ้านเรื่องขุนช้างขุนแผน เช่น วัดขุนแผน วัดขุนไกร วัดนางพิมพ์ เป็นต้น ต่อมา ปี พ.ศ. 2472 พระครูจวนนำชาวบ้านแผ้วถาง ปฏิสังขรณ์วัดนางพิมพ์ขึ้นใหม่และตั้งชื่อว่าวัดกาญจนบุรีเก่าส่วนโบราณสถานอื่นๆ ทางวัดและชาวบ้านต่างเข้าไปขุดหาของโบราณและพบกรุพระเครื่องจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณวัดขุนแผน
    -วัดป่าเลไลยก์ ปัจจุบันเป็นวัดร้าง สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาเดิมมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในมณฑปแต่ถูกคนลับลอบผ่าอกจนทะลุเพื่อหากรุพระ ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดผ่าอก ต่อมา พ.ศ. 2517 พระจากวัดกาญจนบุรีเก่าได้นำชาวบ้านสร้างพระพุทธรูปปางปาลิไลย์ขึ้นแทนเพื่อให้สอดคล้องกับเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน โบราณสถานสำคัญที่พบในบริเวณวัด ได้แก่     - มณฑป หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ขนาดใหญ่- วิหาร อยู่กึ่งกลางระหว่างมณฑปและเจดีย์ ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังก่อทึบ มีประตูเข้าสองประตูทางทิศตะวันออกบันไดทางขึ้นอยู่ทางทิศเหนือและใต้ ส่วนหลังคาสร้างขึ้นใหม่     - เจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงกลมสององค์บนฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยอิฐสอดินฉาบปูน ส่วนยอดหักพังหมดแล้ว
    - วัดขุนแผน - ปรางค์ เป็นปรางค์เดี่ยว สูงราว 15 ม. อาจเป็นพระมหาธาตุประจำเมืองกาญจนบุรีเก่า ลักษณะเป็นปรางค์สมัยอยุธยา คล้ายปรางค์ที่ ต. ศาลาขาว อ. เมือง จ.สุพรรณบุรี แต่ขนาดเล็กกว่าก่อด้วยอิฐสอดินฉาบปูน ไม่มีลวดลายใดๆ ฐานหน้ากระดานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 9 ม. สูง 65 ซม. ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานชุดลายบัว ย่อมุมไม้สิบสองเพิ่มมุม เหนือขึ้นไปอีกเป็นเรือนธาตุ มีซุ้มจระนำกลีบขนุนเรียงตัวอย่างมีระเบียบ ส่วนนอกคล้ายฝักข้าวโพด วัดขุนแผนสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ห่างจากวัดขุนแผนไปทางทิศตะวันออก 300 เมตร มีโบราณสถานแบ่งเป็น 2 กลุ่มที่มีสระล้างกระดูกอยู่ระหว่างกลาง ได้แก่         - กลุ่มทางด้านทิศเหนือ ประกอบด้วยเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ มีฐานประทักษิณ วิหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
        - กลุ่มทางด้านทิศใต้ ประกอบด้วยวิหารขนาดกลาง เจดีย์ราย และกำแพงแก้วล้อมรอบ สี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออกปัจจุบันเป็นวัดร้าง เป็นวัดขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากวัดป่าเลไลยก์มาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 500 ม. เมื่อ พ.ศ. 2532 กรมศิลปากรเข้ามาขุดแต่งและบูรณะหลังจากโบราณสถานทั้งหมดถูกขุดทำลายจนทรุดโทรม พบโบราณสถานที่สำคัญได้แก่     - โบสถ์ พบฐานโบสถ์ก่ออิฐสอดินฉาบปูน กว้าง 17.2 ม. ยาว 7.8 ม. สูง 2.5 ม. มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก ภายในอาคารแบบอยุธยาตอนปลาย
    - เจดีย์ประจำทิศและเจดีย์ราย มี 12 องค์ ก่อด้วยอิฐสอดินฉาบปูน ส่วนมากยอดหัก พังหมดแล้ววัดแม่หม้าย ปัจจุบันเป็นวัดร้าง สร้างขึ้นสมัยอยุธยา อยู่ห่างจากวัดขุนแผนไปทางตะวันออกราว 300 ม. พบโบราณสถานสองกลุ่ม โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่เรียกว่าสระล้างกระดูกอยู่ระหว่างกลาง      - วัดแม่หม้ายเหนือ มีฐานเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ ฐานประทักษิณก่อด้วยอิฐสอดิน ส่วนยอดหักพังลงมา มีบันไดขึ้นด้านทิศตะวันตก และฐานวิหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันตก     - วัดแม่หม้ายใต้ พบฐานวิหารขนาดกลางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีฐานเจดีย์รายและกำแพงแก้วล้อมรอบวัดดกาญจนบุรีเก่า (วัดนางพิมพ์) วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเดิมทีภายในวัดมีทั้งพระปรางค์ พระอุโบสถ เจดีย์ประจำทิศ เจดีย์รายและวิหาร แต่ปัจจุบันมองเห็นเพียงพระปรางค์เท่านั้นได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยซากโบราณสถานเดิมให้เห็น
    นอกเหนือจากแค่ถ้อยคำบันทึกทางประวัติศาสตร์ร่องรอยหลักฐานที่หลงเหลืออยู่นี้ นับเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุคสมัยที่บอกเล่าเรื่องราวของความเปลี่ยนแปลงและความรุ่งเรืองในอดีต ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้เห็นและมาสัมผัส ซึบซับเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง


พระพุทธรูปปรางป่าเลไลย์






------------------------------------------

อ้างอิง : หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี

เอกสาร เมืองกาญจนบุรี (เก่า): ลักษณะรูปแบบเมืองหน้าด่าน จากหลักฐานทางโบราณคดี วรพจน์ หิรัณยวุฒิกุล












0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI