ทักษะด้านเทคโนโลยีและสื่อ (Digital Literacy) กับการเติบโตในระบบงานบริษัท

ทักษะด้านเทคโนโลยีและสื่อ (Digital Literacy) กับการเติบโตในระบบงานบริษัท
ในโลกการทำงานยุคปัจจุบันที่หมุนเร็วไม่ต่างจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน “ทักษะด้านเทคโนโลยีและสื่อ” หรือ Digital Literacy ได้กลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของความก้าวหน้าในสายงานอาชีพ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับต้น พนักงานฝ่ายสนับสนุน จนถึงระดับหัวหน้าและผู้บริหาร ทักษะนี้กำลังกลายเป็นภาษากลางขององค์กรที่ทุกคนจำเป็นต้องสื่อสารให้เข้าใจและใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
ความหมายของ Digital Literacy
Digital Literacy ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนได้ แต่รวมไปถึงความสามารถในการค้นหา ประเมิน วิเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลผ่านเครื่องมือดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณและมีจริยธรรม โดยครอบคลุมทั้งความเข้าใจเทคโนโลยี การใช้ซอฟต์แวร์ การจัดการข้อมูล ไปจนถึงการรู้เท่าทันสื่อในยุคออนไลน์
UNESCO ให้ความหมายของ Digital Literacy ว่าเป็น "ความสามารถในการเข้าถึง จัดการ ทำความเข้าใจ และประเมินข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เพื่อการเรียนรู้ การทำงาน และการเข้าร่วมในสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ" ซึ่งสะท้อนว่า ทักษะนี้ไม่ใช่แค่ทักษะเสริม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานในโลกยุคใหม่
เราจะใช้ Digital Literacy เพื่อก้าวหน้าในที่ทำงานได้อย่างไร
1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเครื่องมือดิจิทัล
ในยุคที่ระบบอัตโนมัติ (Automation), โปรแกรมจัดการโปรเจกต์, และแพลตฟอร์ม Cloud ต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งปกติขององค์กร คนที่สามารถเรียนรู้และใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว จะสามารถทำงานได้รวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น ใช้ Google Workspace จัดการเอกสารร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ ใช้ Trello หรือ Asana วางแผนงานแบบเป็นขั้นตอน ทำให้สามารถติดตามความคืบหน้าและประสานงานได้แม้อยู่คนละที่
2. เข้าใจและสื่อสารข้อมูลด้วยความแม่นยำ
Digital Literacy ช่วยให้เราสามารถแปลข้อมูลเชิงตัวเลขหรือเชิงกราฟจาก Dashboard, CRM, หรือ Report ต่าง ๆ ไปสู่การตัดสินใจที่มีคุณภาพ ในหลายองค์กร คนที่สามารถสื่อสารข้อมูลผ่านภาพ (Data Visualization) เช่นการใช้ Power BI หรือ Tableau มักจะได้รับความไว้วางใจและมีบทบาทสำคัญในการประชุมวางแผน
3. สร้าง Personal Branding และโอกาสใหม่ผ่านออนไลน์
การรู้จักใช้ Social Media หรือแพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn อย่างมืออาชีพ เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Literacy เช่นกัน พนักงานที่สามารถใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ในการสร้างเครือข่ายวิชาชีพ แชร์ความรู้ หรือแสดงศักยภาพด้านผลงาน ย่อมมีโอกาสถูกมองเห็นโดยหัวหน้า ผู้บริหาร หรือแม้แต่ลูกค้ารายใหม่ ซึ่งนำไปสู่โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือขยายขอบเขตงาน
4. เรียนรู้และปรับตัวอย่างรวดเร็ว
ทักษะด้านเทคโนโลยีทำให้เราสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ตลอดเวลา เพราะในโลกของการทำงานปัจจุบัน “คนที่หยุดเรียนรู้คือคนที่ถูกแทนที่ได้ง่ายที่สุด” คนที่สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ดิจิทัล เช่นคอร์สออนไลน์ (Coursera, Skillshare, LinkedIn Learning) หรือเว็บเทรนนิ่งต่าง ๆ จะมีความได้เปรียบด้านความรู้ และสามารถขยายบทบาทของตัวเองได้เรื่อย ๆ
5. เสริมความมั่นใจในการปรับตัวสู่ยุค AI และอัตโนมัติ
เมื่อ AI และระบบอัตโนมัติเข้ามามีบทบาทในองค์กร ผู้ที่มีทักษะ Digital Literacy จะไม่รู้สึกหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่จะเข้าใจและใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ ChatGPT ช่วยคิดไอเดียการตลาด หรือการใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าในระดับลึก
สรุป ทักษะ Digital Literacy ไม่ใช่ทักษะทางเลือก แต่เป็น “ทักษะพื้นฐาน” ที่เปรียบได้กับการอ่านออกเขียนได้ในโลกยุคใหม่ หากเราเข้าใจและพัฒนาทักษะนี้อย่างต่อเนื่อง เราจะไม่เพียงเป็น “พนักงานที่ดี” แต่จะกลายเป็น “คนทำงานที่องค์กรไม่อยากขาด” และสามารถเติบโตไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในระบบงานได้อย่างมั่นคง
.
แหล่งอ้างอิง
- UNESCO. (2018). Digital Literacy in Education.
- Partnership for 21st Century Skills (P21 Framework).
- OECD. (2020). Skills for a Digital World.
- Microsoft Digital Literacy Curriculum