ปัจจุบันเมื่อมีวันหยุด หลาย ๆ คนเลือกที่จะเที่ยวให้ดีที่สุดและต้องการประสบการณ์ที่น่าประทับใจ หลายเมืองในหลายประเทศก็เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง เพื่อให้ช่วงเวลาแห่งความสุขของนักท่องเที่ยวมีประสิทธิภาพที่สุด ถ้าจะพูดภาษาอย่างเป็นทางการ เราเรียกการใช้เทคโนโลยีในการท่องเที่ยวว่า ‘Smart Tourism’ หรือการท่องเที่ยวแบบอัจฉริยะ โดยมีการให้บริการเฉพาะบุคคล และมอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้กับนักท่องเที่ยว
ข้อมูลเรื่อง Smart Tourism, Smart Cities, and Smart Destinations as Knowledge Management Tools ที่เป็นส่วนหนึ่งของ คู่มือการวิจัยเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีอัจฉริยะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ระบุคุณสมบัติของ Smart Tourism ไว้ 4 ข้อ ดังนี้
- รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากนักท่องเที่ยวเพื่อให้บริการที่ตรงตามความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้
- ใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) เพื่อเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยว บริการ และความต้องการของนักท่องเที่ยวเข้าหากัน
- ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) และความจริงเสมือน (VR) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น
- ใช้เทคโนโลยีจัดการทรัพยากร เพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ชวนดู 3 เมืองทั่วโลกที่เลือกใช้ Smart Tourism เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว
บาร์เซโลนา สเปน - Smart City Smart Tourism เพื่อนำไปสู่ Smart Destination
บาร์เซโลนา ถือเป็นเมืองจากทวีปยุโรปที่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับพลเมือง จึงจำเป็นต้องผสมผสานการบริการและโครงสร้างพื้นฐานให้เข้ากับเทคโนโลยี ซึ่งก็คือ Smart Tourism ที่ถูกนำมาใช้ในปี 2012 นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับระบบเมือง ยกตัวอย่างเช่น ระบบจอดรถอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีตรวจจับว่าที่จอดรถที่ว่างและแจ้งให้ผู้ขับทราบ การทำระบบไฟถนนอัจฉริยะ การใช้หลอด LED พร้อมระบบเซนเซอร์ที่ปรับความสว่างตามสภาพแวดล้อม ระบบจักรยานสาธารณะ ที่ทำให้ประชาชนสามารถยืมจักรยานได้ฟรีสำหรับการเดินทางระยะสั้น ทั้งยังช่วยลดจำนวนรถยนต์ในเมืองได้ด้วย ในเรื่องของการท่องเที่ยว บาร์เซโลนาใช้เทคโนโลยีรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวเพื่อช่วยนักท่องเที่ยววางแผนและตัดสินใจระหว่างการเดินทางได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีการเปิดใช้แอปพลิเคชันให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว บริการต่าง ๆ และจองพักได้ง่าย และใช้เทคโนโลยีควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวและชีวิตประจำวันของประชาชน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบาร์เซโลนาจึงเป็น ‘Smart Destination’ ที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนเก็บกระเป๋าเพื่อไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต
โซล เกาหลีใต้ - ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวแบบ One Stop Service
ทุกวันนี้ กระแส K-Pop และ K-Series ก็มาแรงอย่างต่อเนื่อง แฟนคลับประเทศเกาหลีใต้ก็ไปเรียนภาษาเกาหลี ซื้ออัลบั้มเพลงเกาหลี และหลาย ๆ คนก็ชอบและฝันว่าอยากจะไปเกาหลีใต้สักครั้ง แต่เมื่อไปถึงหลายคนอาจไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปจุดหมายที่ตั้งใจไว้อย่างไร หรืออยากจะลองหาสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างไรบ้าง ที่สถานีขนส่ง ร้านค้าและศูนย์การค้า หรือตามสถานที่ท่องเที่ยว จะมีเจ้าเครื่อง Smart Tourist Information System หรือระบบข้อมูลท่องเที่ยวเกาหลีใต้ตั้งอยู่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้บริการข้อมูลและความช่วยเหลือที่มีประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว โดยมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ฟังก์ชันก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ช่วยนำทางและค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว หรืออยากจะลองกดดูสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้า ตามความสนใจและความต้องการของนักท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง การค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวด้วยเสียง มีข้อมูลการเดินทางแบบเรียลไทม์ มี WiFi ฟรีและจุดชาร์จอุปกรณ์มือถือ ในพื้นที่ที่ติดตั้งระบบไว้ เรียกว่าเป็น One Stop Service ที่ดีและทำให้นักท่องเที่ยวอุ่นใจในการเดินทาง
ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ - องค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยว คือ เทคโนโลยี
ถึงหลายคนจะรู้ว่า ดูไบเป็นเมืองเศรษฐีน้ำมัน แต่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ ในโลก อีกทั้งจุดเด่นของเมืองดูไบก็คือเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เลือกนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สร้างเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมองถึงเรื่องการท่องเที่ยว ดูไบเองก็ใช้เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อสร้าง Smart Tourism และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ฝั่ง Smart Tourism ดูไบก็พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับจองบริการและดูข้อมูลการเดินทาง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างง่าย ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่าง ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ก็ใช้เทคโนโลยีจัดการสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำให้การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง สมกับเป็นประเทศที่ได้รับการพัฒนาที่มีความมั่งคั่งและยั่งยืน
ขณะเดียวกันในประเทศไทยก็มีความพยายามที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการท่องเที่ยว เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงข้อมูลสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วสยาม และบางส่วนก็เริ่มยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน SHABA แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของสถานประกอบการ แอปพลิเคชัน ทักทาย (TAGTHAi): แพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้คอนเซปต์ “Travel It Yourself” เที่ยวไทยแบบง่าย ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงมาใช้สร้าง Virtual Tour พาทัวร์สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ปราสาทหินพิมาย วัดศรีชุม บ้านหนัง โดยไม่ต้องเดินทางจริง
แม้แต่หัวเมืองสำคัญ ๆ อย่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ มีแอปพลิเคชัน Bangkok Smart City ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวก มีบริการ Wi-Fi สาธารณะ ในสถานที่ท่องเที่ยวหลัก เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ง่าย หรือใช้ QR Code ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวและบริการต่าง ๆ ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและสะดวก ส่วนเชียงใหม่ก็มีแอปพลิเคชัน Urban Transit ตัวช่วยสำหรับเดินทางภายในเมือง ทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น และยังมีการรวบรวมข้อมูลเมืองเชียงใหม่ไว้ในเว็บไซต์ www.cmsmartcity.com/ ทว่า อนาคตประเทศไทยจะสามารถใช้เทคโนโลยีมาปรับเข้ากับเมืองและการท่องเที่ยวเหมือนชาติอื่น ๆ ได้มากแค่ไหน คงต้องติดตามกันต่อไป
แหล่งอ้างอิง :
URL อ้างอิง: