การพัฒนาการเรียนรู้

FLIPPED CLASSROOM ห้องเรียนกลับด้านสร้างนักคิด

11 เมษายน 2025
|
69 อ่านข่าวนี้
|
0

FLIPPED CLASSROOM ห้องเรียนกลับด้านสร้างนักคิด

    การเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วมและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกสภาพแวดล้อมช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ การทำงานร่วมกัน และการแก้ปัญหา ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) จึงเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้แบบดั้งเดิมให้ยืดหยุ่นและเน้นความเป็นอิสระของนักเรียนเพื่อให้เรียนรู้ได้ทุกช่วงเวลา

Flipped Classroom คืออะไร

    ห้องเรียนกลับด้าน คือ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีรูปแบบคล้ายการสอนออนไลน์ นักเรียนเรียนรู้บทเรียนจากวิดีโอการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตนอกห้องเรียน ศึกษา คิด วิเคราะห์ด้วยตนเองจากที่บ้าน ก่อนทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนแทน ซึ่งเทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้การสอนในห้องเรียนกลับด้านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ครูสามารถนำไปปรับใช้เพื่อให้มีเวลามากขึ้นในการเตรียมแผนการสอน วัด และประเมินผู้เรียน พัฒนาทักษะและเอาใจใส่กับนักเรียนมากขึ้น ส่วนนักเรียนก็ปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนหรือครูด้วยโปรแกรมสนทนาออนไลน์ได้ โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กมีคำถามหรือติดปัญหาที่แก้ไม่ได้

หลักการสำคัญของ Flipped Classroom

  • F - Flexible Environment สภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น ครูสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปรับตัวได้ นักเรียนเลือกเวลาและสถานที่ในการเรียนรู้ได้ รวมถึงความคาดหวังของครูและการประเมินผลของนักเรียนด้วย
  • L - Learning Culture วัฒนธรรมการเรียนรู้ เน้นนักเรียนมากกว่าครู เวลาเรียนในห้องใช้ทำความเข้าใจเนื้อหาลึกซึ้ง แก้ไขข้อสงสัย และทำกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์
  • I - Intentional Content เนื้อหาที่ตั้งใจ ครูผู้สอน Flipped Classroom คิดและสร้างเนื้อหาด้วยความตั้งใจเพื่อให้การใช้เวลาในห้องเรียนเกิดประโยชน์สูงสุด เน้นพัฒนาความสามารถในกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาความเข้าใจในเชิงแนวคิด
  • P - Professional Educator ครูมืออาชีพ ห้องเรียนกลับด้านต้องการครูที่ทุ่มเทและใส่ใจนักเรียนอย่างต่อเนื่อง สังเกต ให้คำแนะนำ และประเมินผลตลอดเวลา บทบาทของครูในห้องเรียนน้อยลง มุ่งเน้นการเชื่อมโยงกับเพื่อนครูเพื่อพัฒนาวิธีการสอนและแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ


6 ขั้นตอนการสอนแบบ Flipped Classroom

     1. ออกแบบแผนการสอน ครูกำหนดวัตถุประสงค์การสอน เลือกใช้สื่อการสอน กิจกรรมเสริมที่เหมาะสมกับวัยผู้เรียน ห้องเรียน และบริบทของโรงเรียน

    2. เตรียมวิดีโอการสอน ครูอาจบันทึกการสอนของตัวเอง หรือใช้บริการจากวิดีโอการสอนที่มีเนื้อหาของบทเรียนครบตามตัวชี้วัด

    3. แชร์วิดีโอการสอนส่งให้นักเรียน อธิบายเนื้อหาในวิดีโอจะนำมาพูดคุยกันในห้องเรียน ซึ่งขั้นตอนนี้ครูอาจสร้างกิจกรรมหรือแจกแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้นักเรียนลองทำก่อนการสอนในห้องเรียน

    4. ในห้องเรียนครูเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยน และซักถามจากเนื้อหาที่ได้ศึกษามาแล้วในวิดีโอ เพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์และการสื่อสารแลกเปลี่ยนเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน

    5. แบ่งกลุ่มให้นักเรียนได้ร่วมกันทำงานในหัวข้อที่ครูมอบหมาย หรือช่วยกันเลือกหัวข้อในการทำงานเพื่อให้เกิดทักษะการคิด สร้างสรรค์ และการทำงานร่วมกัน ทำให้ได้ผลสัมฤทธิ์ตามที่วางแผนไว้ ระหว่างนี้ครูสังเกตเพื่อประเมินนักเรียนในระหว่างการนำเสนอ โดยมอบหมายเป็นแบบฝึกหัดหรือใบงาน

    6. รวมกลุ่มอีกครั้งเพื่อนำเสนอผลงานกลุ่ม เปิดเวทีให้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและซักถาม

    หลังจบการสอนครูทบทวนการเรียนการสอน แผนการสอนที่ออกแบบไว้ วิดีโอ และผลสัมฤทธิ์ของสื่อเพื่อวัดและประเมินการสอนของครูด้วยเช่นกัน ครูควรต้องทบทวนแผนการสอน ปรับแก้เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และทำซ้ำหากการเรียนการสอนในวันนั้นได้ผลดี

บทบาทใน Flipped Classroom

  • ครู เจ้าของความรู้ ผู้สนับสนุนการเรียนรู้ ตรวจจับศักยภาพนักเรียน ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ติดตามนักเรียนแต่ละคนและฝึกอบรมต่อเนื่อง เชื่อมโยงกับเพื่อนครูเพื่อพัฒนาและยอมรับคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์
  • นักเรียน มีบทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง กระตือรือร้น อิสระ และทำงานร่วมกับครูตั้งแต่เริ่มต้น เลือกประเภทของเนื้อหาที่เหมาะสมกับวิธีการเรียนรู้และทำงานตามจังหวะของตัวเอง
  • ครอบครัว มีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะในวัยเยาว์ เนื่องจากพวกเขาคือตัวกลางที่ต้องช่วยให้เข้าใจและปรับตัวกับวิธีการเรียนรู้ใหม่นี้ที่เกิดขึ้นที่บ้าน ซึ่งการสื่อสารระหว่างครูกับครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ข้อดีของ Flipped Classroom

  • ใช้เวลาในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อหาวิดีโอรับชมได้ที่บ้าน เวลาในห้องเรียนจะถูกใช้เพื่อเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมของนักเรียน
  • เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ห้องเรียนกลายเป็นเวิร์กชอปที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก ทำให้ห้องเรียนกลายเป็นส่วนสำคัญแทนที่จะเป็นส่วนเสริม
  • เรียนรู้ได้ลึกซึ้งมากขึ้น นักเรียนเข้าใจเนื้อหามากขึ้นและเรียนรู้วิธีการนำไปใช้
  • มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น เวลาในห้องเรียนมากขึ้น ทำให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนเองมากขึ้น และมีเวลามากขึ้นสำหรับการอภิปรายและการฝึกปฏิบัติในห้องเรียน
  • ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น นักเรียนต้องเตรียมตัวมาที่ห้องเรียน เพิ่มความรับผิดชอบในชีวิตประจำวันและการเรียนรู้
  • รองรับสไตล์การเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้เวลาทบทวนเนื้อหาเพิ่มเติม นักเรียนสะท้อนความคิดและทดลองผ่านคำถามและการอภิปรายกับเพื่อนๆ เพื่อแก้ไขปัญหา
  • ครูและนักเรียนได้รับคำติชมมากขึ้น นักเรียนได้ใช้ความรู้ของตนเองมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำไปใช้ ช่องว่างในการเข้าใจจะปรากฏให้เห็นทั้งครูและอาจารย์

    ในอนาคตห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) จะทำให้ห้องเรียนของครูเปลี่ยนไป บทบาทของครูเปลี่ยนแปลง เพราะเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ครูมีเวลาวางแผนและออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ เลือกใช้สื่อที่เหมาะกับสถานการณ์ วัดและประเมินผลในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ทำให้นักเรียนเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย สร้างปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับคุณครูและเพื่อนร่วมชั้นได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



ข้อมูลอ้างอิง :

        - ctl.utexas.edu/instructional-strategies/flipped-classroom

        - ltic.kku.ac.th/flipped-classroom/

        - teaching.cornell.edu/teaching-resources/active-collaborative-learning/flipping-classroom

        - www.aksorn.com/flipped-classroom-1

        - www.iberdrola.com/talent/flipped-classroom

        - www.starfishlabz.com/blog/1238-flipped-classroom-ห้องเรียนกลับด้านด้วยเทคโนโลยีการศึกษา


0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI