FLIPPED CLASSROOM ห้องเรียนกลับด้านสร้างนักคิด
FLIPPED CLASSROOM ห้องเรียนกลับด้านสร้างนักคิด
การเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วมและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกสภาพแวดล้อมช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
การทำงานร่วมกัน และการแก้ปัญหา ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
จึงเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้แบบดั้งเดิมให้ยืดหยุ่นและเน้นความเป็นอิสระของนักเรียนเพื่อให้เรียนรู้ได้ทุกช่วงเวลา
Flipped
Classroom คืออะไร
ห้องเรียนกลับด้าน คือ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
มีรูปแบบคล้ายการสอนออนไลน์ นักเรียนเรียนรู้บทเรียนจากวิดีโอการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตนอกห้องเรียน
ศึกษา คิด วิเคราะห์ด้วยตนเองจากที่บ้าน ก่อนทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนแทน
ซึ่งเทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้การสอนในห้องเรียนกลับด้านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ครูสามารถนำไปปรับใช้เพื่อให้มีเวลามากขึ้นในการเตรียมแผนการสอน
วัด และประเมินผู้เรียน พัฒนาทักษะและเอาใจใส่กับนักเรียนมากขึ้น
ส่วนนักเรียนก็ปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนหรือครูด้วยโปรแกรมสนทนาออนไลน์ได้
โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กมีคำถามหรือติดปัญหาที่แก้ไม่ได้
หลักการสำคัญของ
Flipped Classroom
- F - Flexible Environment สภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น ครูสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปรับตัวได้
นักเรียนเลือกเวลาและสถานที่ในการเรียนรู้ได้
รวมถึงความคาดหวังของครูและการประเมินผลของนักเรียนด้วย
- L - Learning Culture วัฒนธรรมการเรียนรู้ เน้นนักเรียนมากกว่าครู เวลาเรียนในห้องใช้ทำความเข้าใจเนื้อหาลึกซึ้ง
แก้ไขข้อสงสัย และทำกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์
- I - Intentional Content เนื้อหาที่ตั้งใจ ครูผู้สอน Flipped Classroom คิดและสร้างเนื้อหาด้วยความตั้งใจเพื่อให้การใช้เวลาในห้องเรียนเกิดประโยชน์สูงสุด
เน้นพัฒนาความสามารถในกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาความเข้าใจในเชิงแนวคิด
- P - Professional Educator ครูมืออาชีพ ห้องเรียนกลับด้านต้องการครูที่ทุ่มเทและใส่ใจนักเรียนอย่างต่อเนื่อง สังเกต ให้คำแนะนำ และประเมินผลตลอดเวลา บทบาทของครูในห้องเรียนน้อยลง มุ่งเน้นการเชื่อมโยงกับเพื่อนครูเพื่อพัฒนาวิธีการสอนและแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ
6
ขั้นตอนการสอนแบบ Flipped Classroom
1. ออกแบบแผนการสอน ครูกำหนดวัตถุประสงค์การสอน เลือกใช้สื่อการสอน กิจกรรมเสริมที่เหมาะสมกับวัยผู้เรียน
ห้องเรียน และบริบทของโรงเรียน
2. เตรียมวิดีโอการสอน
ครูอาจบันทึกการสอนของตัวเอง
หรือใช้บริการจากวิดีโอการสอนที่มีเนื้อหาของบทเรียนครบตามตัวชี้วัด
3. แชร์วิดีโอการสอนส่งให้นักเรียน
อธิบายเนื้อหาในวิดีโอจะนำมาพูดคุยกันในห้องเรียน ซึ่งขั้นตอนนี้ครูอาจสร้างกิจกรรมหรือแจกแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้นักเรียนลองทำก่อนการสอนในห้องเรียน
4. ในห้องเรียนครูเปิดโอกาสให้เด็กๆ
ได้ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยน และซักถามจากเนื้อหาที่ได้ศึกษามาแล้วในวิดีโอ
เพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์และการสื่อสารแลกเปลี่ยนเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
5. แบ่งกลุ่มให้นักเรียนได้ร่วมกันทำงานในหัวข้อที่ครูมอบหมาย
หรือช่วยกันเลือกหัวข้อในการทำงานเพื่อให้เกิดทักษะการคิด สร้างสรรค์
และการทำงานร่วมกัน ทำให้ได้ผลสัมฤทธิ์ตามที่วางแผนไว้ ระหว่างนี้ครูสังเกตเพื่อประเมินนักเรียนในระหว่างการนำเสนอ
โดยมอบหมายเป็นแบบฝึกหัดหรือใบงาน
6. รวมกลุ่มอีกครั้งเพื่อนำเสนอผลงานกลุ่ม
เปิดเวทีให้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและซักถาม
หลังจบการสอนครูทบทวนการเรียนการสอน
แผนการสอนที่ออกแบบไว้ วิดีโอ และผลสัมฤทธิ์ของสื่อเพื่อวัดและประเมินการสอนของครูด้วยเช่นกัน
ครูควรต้องทบทวนแผนการสอน ปรับแก้เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และทำซ้ำหากการเรียนการสอนในวันนั้นได้ผลดี
บทบาทใน Flipped Classroom
- ครู เจ้าของความรู้ ผู้สนับสนุนการเรียนรู้ ตรวจจับศักยภาพนักเรียน ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ติดตามนักเรียนแต่ละคนและฝึกอบรมต่อเนื่อง เชื่อมโยงกับเพื่อนครูเพื่อพัฒนาและยอมรับคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์
- นักเรียน มีบทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง กระตือรือร้น อิสระ และทำงานร่วมกับครูตั้งแต่เริ่มต้น เลือกประเภทของเนื้อหาที่เหมาะสมกับวิธีการเรียนรู้และทำงานตามจังหวะของตัวเอง
- ครอบครัว มีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะในวัยเยาว์ เนื่องจากพวกเขาคือตัวกลางที่ต้องช่วยให้เข้าใจและปรับตัวกับวิธีการเรียนรู้ใหม่นี้ที่เกิดขึ้นที่บ้าน ซึ่งการสื่อสารระหว่างครูกับครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ข้อดีของ Flipped Classroom
- ใช้เวลาในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อหาวิดีโอรับชมได้ที่บ้าน เวลาในห้องเรียนจะถูกใช้เพื่อเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมของนักเรียน
- เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ห้องเรียนกลายเป็นเวิร์กชอปที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก ทำให้ห้องเรียนกลายเป็นส่วนสำคัญแทนที่จะเป็นส่วนเสริม
- เรียนรู้ได้ลึกซึ้งมากขึ้น นักเรียนเข้าใจเนื้อหามากขึ้นและเรียนรู้วิธีการนำไปใช้
- มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น เวลาในห้องเรียนมากขึ้น ทำให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนเองมากขึ้น และมีเวลามากขึ้นสำหรับการอภิปรายและการฝึกปฏิบัติในห้องเรียน
- ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น นักเรียนต้องเตรียมตัวมาที่ห้องเรียน เพิ่มความรับผิดชอบในชีวิตประจำวันและการเรียนรู้
- รองรับสไตล์การเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้เวลาทบทวนเนื้อหาเพิ่มเติม นักเรียนสะท้อนความคิดและทดลองผ่านคำถามและการอภิปรายกับเพื่อนๆ เพื่อแก้ไขปัญหา
- ครูและนักเรียนได้รับคำติชมมากขึ้น นักเรียนได้ใช้ความรู้ของตนเองมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำไปใช้ ช่องว่างในการเข้าใจจะปรากฏให้เห็นทั้งครูและอาจารย์
ในอนาคตห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) จะทำให้ห้องเรียนของครูเปลี่ยนไป บทบาทของครูเปลี่ยนแปลง เพราะเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ครูมีเวลาวางแผนและออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ เลือกใช้สื่อที่เหมาะกับสถานการณ์ วัดและประเมินผลในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ทำให้นักเรียนเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย สร้างปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับคุณครูและเพื่อนร่วมชั้นได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ข้อมูลอ้างอิง :
- ctl.utexas.edu/instructional-strategies/flipped-classroom
-
ltic.kku.ac.th/flipped-classroom/
-
teaching.cornell.edu/teaching-resources/active-collaborative-learning/flipping-classroom
-
www.aksorn.com/flipped-classroom-1
-
www.iberdrola.com/talent/flipped-classroom
-
www.starfishlabz.com/blog/1238-flipped-classroom-ห้องเรียนกลับด้านด้วยเทคโนโลยีการศึกษา

