ส่องกระแส WORKATION ไลฟ์สไตล์ทำงานยุคใหม่ ได้ทั้งงานได้ทั้งการท่องเที่ยว
นอกจากกรุงเทพฯ จะได้รับการจัดอันดับจาก Holidu’s
Workation Index ให้เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับ Workation หรือทำงานไปเที่ยวไปอันดับหนึ่งของโลก ประจำปี 2564
และตามมาด้วยภูเก็ตกับเชียงใหม่ในอันดับสิบแล้ว ล่าสุด จากผลสำรวจของ InterNations
ประจำปี 2565 กรุงเทพฯ
ยังคว้าอันดับหกของเมืองน่าอยู่และน่าทำงานในสายตาชาวต่างชาติอีกด้วย ทำให้กระแสของการทำงานแบบ
Workation บ้านเรายิ่งพุ่งแรงขึ้นอย่างฉับพลันทันที จนมีการพูดถึงการสนับสนุนการทำงานรูปแบบนี้ในองค์กรต่างๆ
เพื่อหวังจะสร้างโอกาสในการฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศให้กลับคืนมาโดยเร็ว
กล่าวในแง่ของมนุษย์งานทั่วไป...ใครเล่าจะไม่อยากทำงานไปด้วยและได้ท่องเที่ยวไปด้วย
แต่ในแง่ขององค์กรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งคงมีทั้งองค์กรที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
สำหรับความหมายของ Workation นั้น มาจากคำว่า Work (ทำงาน) + Vacation (ท่องเที่ยว) หมายถึงรูปแบบของการทำงานที่เลือกทำงานจากสถานที่พักผ่อนหรือท่องเที่ยวได้
จะว่าไปมันก็คือคอนเซ็ปต์เดียวกันกับการทำงานแบบ Work from Anywhere ซึ่งในเมืองนอกคุ้นเคยกันดี
แต่เมืองไทยอาจจะยังเป็นไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างใหม่ เพราะที่ผ่านมา
องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่อนุญาตให้พนักงานทำงานในรูปแบบนี้
จนกระทั่งเกิดสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกจำเป็นต้องให้พนักงานทำงานมาจากที่บ้าน
จึงเป็นตัวเร่งให้องค์กรและพนักงานทั้งหลายต้องปรับตัวเข้าสู่การทำงานรูปแบบ New
Normal ซึ่งเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารของโลกยุคดิจิทัลเช่นในปัจจุบัน
ก็ช่วยให้งานขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี แต่การทำงานจากที่บ้านต่อเนื่องนานๆ ย่อมส่งผลให้จิตใจห่อเหี่ยว
ซึมเศร้า หรือรู้สึกขึ้งเครียด จึงเกิดการต่อยอดเป็นการทำงานจากที่ไหนก็ได้
โดยเฉพาะจากสถานที่พักผ่อนหรือท่องเที่ยว ในรูปแบบ Workation
ตามที่เป็นกระแส ซึ่งนอกจากจะทำให้คนทำงานมีความสุขเพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานก็สูงขึ้นด้วย
ดังนั้นแม้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย
แต่กระแสของการทำงานแบบ Workation กลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยจากตัวเลขในรายงานของ Booking.com ในปี 2563 ที่เก็บผลสำรวจคนเดินทาง 20,000 คนใน 28 ประเทศทั่วโลก พบว่า 37% ของคนเหล่านั้นตัดสินใจเดินทางไปที่อื่น เพื่อทำงานในแบบ Workation มากกว่าจะจำเจทำงานอยู่ในที่เดิมๆ ซึ่งคนอเมริกามีตัวเลขสูงสุดถึง 42% จากผลสำรวจทั้งหมด
ส่วนในเมืองไทย
ก่อนกระแสของ
Workation จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น แนวโน้มของไลฟ์สไตล์ทำงานยุคใหม่ในรุ่น
Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกำลังสำคัญขององค์กร
ก็เริ่มหันไปทำงานฟรีแลนซ์มากกว่างานประจำอยู่แล้ว เพราะสามารถกำหนดเวลาและสถานที่ทำงานเองได้อย่างอิสระ
โดยจะเลือกทำงานไปด้วยท่องเที่ยวไปด้วยก็ได้ อันถือเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์งานถ้วนหน้า
ก็ยิ่งหนุนให้กระแส Workation พุ่งแรงง่ายขึ้น
แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อด้อย
จริงอยู่ว่า ในฐานะคนทำงาน
ข้อดีของ Workation
นี้ช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ต้องกดดันกับเวลารูดบัตรเข้าออกออฟฟิศ
หรือปัญหารถติดนิ่งสนิทอยู่บนถนนอีกต่อไป จึงทำให้ความเครียดในการทำงานลดลง
และยังเกิดแรงบันดาลใจหรือความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นจากการได้เปลี่ยนบรรยากาศไปทำงานในสถานที่ที่สมองผ่อนคลาย
รวมทั้งมีโอกาสได้พบปะกับผู้คนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย
ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อันนำมาใช้ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้นได้
หากในเวลาเดียวกัน การทำงานแบบ
Workation ก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่ได้เหมาะกับงานทุกงาน ทุกตำแหน่ง สำหรับใครที่ทำงานติดต่อสื่อสารผ่านออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา
อย่างเช่น งานเขียน งานแปล งานรายงานข่าว งานออกแบบ งานถ่ายภาพ หรืองานมาร์เก็ตติ้งที่ประชุมทางออนไลน์ได้
ฯลฯ ก็คงไม่ติดขัดอะไร ขอเพียงเลือกเช็กอินอยู่ในสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยวที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อถึง
และจิตแข็งมากพอที่จะไม่ปล่อยให้การท่องเที่ยวกับการทำงานพร้อมๆ กันรวนเร
จนเสี่ยงต่อการเสียงานเสียการ ส่วนคนที่ทำงานในลักษณะไม่เหมาะกับ Workation ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะอาจต้องทำงานไปเที่ยวทิพย์ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้สอดรับกับกระแส Workation ในปัจจุบัน ในส่วนขององค์กรหลายแห่งก็มีความพยายามที่จะนำเอาข้อดีของการทำงานไปท่องเที่ยวไปมาใช้กับพนักงานทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม
รวมถึงปรับใช้กับพนักงานที่ลักษณะงานไม่เอื้ออำนวยด้วย โดยเน้นเป็น Workation
แบบหมู่คณะ แทนที่จะต่างคนต่างไป เพื่อให้พนักงานสามารถจัดกลุ่มไปทำงานและท่องเที่ยวในสถานที่สวยๆ
ได้เองอย่างอิสระ ทำให้ลดความกดดันในการทำงานแบบรูทีน
พนักงานผ่อนคลายและเปิดใจให้กันมากขึ้น
เกิดความคิดสร้างสรรค์จากการชาร์จพลังในสถานที่ท่องเที่ยว ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
แถมยังซื้อใจพนักงานให้รู้สึกผูกพันกับองค์กรได้ยิ่งขึ้นอีก ซึ่งจะแตกต่างจาก Company
Outing ที่มีลักษณะแกมบังคับ และเป็นการไปเพื่ออบรม สังสรรค์
หรือทำกิจกรรมมากกว่าการไปทำงาน
แต่การสนับสนุนการทำงานแบบ
Workation
นี้ องค์กรก็จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในด้านของการกำหนดเป้าหมาย
แผนงาน และวิธีทำงานเป็นทีม เพื่อพนักงานจะได้ไม่หลุดโฟกัสและสามารถเพิ่ม Productivity
หรือผลิตผลของงานได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ
ดังนั้นในขณะที่รัฐบาลมีการส่งเสริมการทำงานแบบ
Workation ในกรุงเทพฯ ให้กับคนเดินทางทั่วโลกอย่างแข็งขัน และไลฟ์สไตล์ทำงานยุคใหม่
ได้ทั้งงานได้ทั้งการท่องเที่ยว ของบ้านเราก็กำลังบูมมาก หากเจ้าของกิจการท่องเที่ยวต่างๆ
รีบดึงมาใช้เป็นกลยุทธ์พลิกฟื้นวิกฤต ด้วยการปรับปรุงสถานที่ของตนเองให้สวยงาม
ผ่อนคลาย และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยมีเทคโนโลยีรองรับการติดต่อสื่อสารสำหรับการทำงานอย่างฉับไวตลอดเวลา
ภายใต้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือเข้าพักไม่สูงเกินไปนัก
ก็น่าจะช่วยกระตุ้นธุรกิจและผลักดันให้กระแส Workation ยิ่งพุ่งแรงขึ้นอย่างมีคุณภาพ สมกับไลฟ์สไตล์ได้ทั้งงานได้ทั้งการท่องเที่ยวโลดๆ...
ข้อมูลอ้างอิง : www.holidu.co.uk, https://grovehr.com, www.cnbc.com