ส่องกระแส WORKATION ไลฟ์สไตล์ทำงานยุคใหม่ ได้ทั้งงานได้ทั้งการท่องเที่ยว

23 มกราคม 2023
|
579 อ่านข่าวนี้
|
9


            นอกจากกรุงเทพฯ จะได้รับการจัดอันดับจาก Holidu’s Workation Index ให้เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับ Workation หรือทำงานไปเที่ยวไปอันดับหนึ่งของโลก ประจำปี 2564 และตามมาด้วยภูเก็ตกับเชียงใหม่ในอันดับสิบแล้ว ล่าสุด จากผลสำรวจของ InterNations ประจำปี 2565 กรุงเทพฯ ยังคว้าอันดับหกของเมืองน่าอยู่และน่าทำงานในสายตาชาวต่างชาติอีกด้วย ทำให้กระแสของการทำงานแบบ Workation บ้านเรายิ่งพุ่งแรงขึ้นอย่างฉับพลันทันที จนมีการพูดถึงการสนับสนุนการทำงานรูปแบบนี้ในองค์กรต่างๆ เพื่อหวังจะสร้างโอกาสในการฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศให้กลับคืนมาโดยเร็ว


            กล่าวในแง่ของมนุษย์งานทั่วไป...ใครเล่าจะไม่อยากทำงานไปด้วยและได้ท่องเที่ยวไปด้วย แต่ในแง่ขององค์กรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคงมีทั้งองค์กรที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

            สำหรับความหมายของ Workation นั้น มาจากคำว่า Work (ทำงาน) + Vacation (ท่องเที่ยว) หมายถึงรูปแบบของการทำงานที่เลือกทำงานจากสถานที่พักผ่อนหรือท่องเที่ยวได้ จะว่าไปมันก็คือคอนเซ็ปต์เดียวกันกับการทำงานแบบ Work from Anywhere ซึ่งในเมืองนอกคุ้นเคยกันดี แต่เมืองไทยอาจจะยังเป็นไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างใหม่ เพราะที่ผ่านมา องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่อนุญาตให้พนักงานทำงานในรูปแบบนี้ จนกระทั่งเกิดสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกจำเป็นต้องให้พนักงานทำงานมาจากที่บ้าน จึงเป็นตัวเร่งให้องค์กรและพนักงานทั้งหลายต้องปรับตัวเข้าสู่การทำงานรูปแบบ New Normal ซึ่งเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารของโลกยุคดิจิทัลเช่นในปัจจุบัน ก็ช่วยให้งานขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี แต่การทำงานจากที่บ้านต่อเนื่องนานๆ ย่อมส่งผลให้จิตใจห่อเหี่ยว ซึมเศร้า หรือรู้สึกขึ้งเครียด จึงเกิดการต่อยอดเป็นการทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะจากสถานที่พักผ่อนหรือท่องเที่ยว ในรูปแบบ Workation ตามที่เป็นกระแส ซึ่งนอกจากจะทำให้คนทำงานมีความสุขเพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานก็สูงขึ้นด้วย

ดังนั้นแม้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย แต่กระแสของการทำงานแบบ Workation กลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ 


            โดยจากตัวเลขในรายงานของ Booking.com ในปี 2563 ที่เก็บผลสำรวจคนเดินทาง 20,000 คนใน 28 ประเทศทั่วโลก พบว่า 37% ของคนเหล่านั้นตัดสินใจเดินทางไปที่อื่น เพื่อทำงานในแบบ Workation มากกว่าจะจำเจทำงานอยู่ในที่เดิมๆ ซึ่งคนอเมริกามีตัวเลขสูงสุดถึง 42% จากผลสำรวจทั้งหมด  

ส่วนในเมืองไทย ก่อนกระแสของ Workation จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น แนวโน้มของไลฟ์สไตล์ทำงานยุคใหม่ในรุ่น Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกำลังสำคัญขององค์กร ก็เริ่มหันไปทำงานฟรีแลนซ์มากกว่างานประจำอยู่แล้ว เพราะสามารถกำหนดเวลาและสถานที่ทำงานเองได้อย่างอิสระ โดยจะเลือกทำงานไปด้วยท่องเที่ยวไปด้วยก็ได้ อันถือเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์งานถ้วนหน้า ก็ยิ่งหนุนให้กระแส Workation พุ่งแรงง่ายขึ้น

แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อด้อย

จริงอยู่ว่า ในฐานะคนทำงาน ข้อดีของ Workation นี้ช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ต้องกดดันกับเวลารูดบัตรเข้าออกออฟฟิศ หรือปัญหารถติดนิ่งสนิทอยู่บนถนนอีกต่อไป จึงทำให้ความเครียดในการทำงานลดลง และยังเกิดแรงบันดาลใจหรือความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นจากการได้เปลี่ยนบรรยากาศไปทำงานในสถานที่ที่สมองผ่อนคลาย รวมทั้งมีโอกาสได้พบปะกับผู้คนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อันนำมาใช้ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้นได้

หากในเวลาเดียวกัน การทำงานแบบ Workation ก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่ได้เหมาะกับงานทุกงาน ทุกตำแหน่ง สำหรับใครที่ทำงานติดต่อสื่อสารผ่านออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างเช่น งานเขียน งานแปล งานรายงานข่าว งานออกแบบ งานถ่ายภาพ หรืองานมาร์เก็ตติ้งที่ประชุมทางออนไลน์ได้ ฯลฯ ก็คงไม่ติดขัดอะไร ขอเพียงเลือกเช็กอินอยู่ในสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยวที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อถึง และจิตแข็งมากพอที่จะไม่ปล่อยให้การท่องเที่ยวกับการทำงานพร้อมๆ กันรวนเร จนเสี่ยงต่อการเสียงานเสียการ ส่วนคนที่ทำงานในลักษณะไม่เหมาะกับ Workation ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะอาจต้องทำงานไปเที่ยวทิพย์ไปก่อน   


อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดรับกับกระแส Workation ในปัจจุบัน ในส่วนขององค์กรหลายแห่งก็มีความพยายามที่จะนำเอาข้อดีของการทำงานไปท่องเที่ยวไปมาใช้กับพนักงานทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม รวมถึงปรับใช้กับพนักงานที่ลักษณะงานไม่เอื้ออำนวยด้วย โดยเน้นเป็น Workation แบบหมู่คณะ แทนที่จะต่างคนต่างไป เพื่อให้พนักงานสามารถจัดกลุ่มไปทำงานและท่องเที่ยวในสถานที่สวยๆ ได้เองอย่างอิสระ ทำให้ลดความกดดันในการทำงานแบบรูทีน พนักงานผ่อนคลายและเปิดใจให้กันมากขึ้น เกิดความคิดสร้างสรรค์จากการชาร์จพลังในสถานที่ท่องเที่ยว ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น แถมยังซื้อใจพนักงานให้รู้สึกผูกพันกับองค์กรได้ยิ่งขึ้นอีก ซึ่งจะแตกต่างจาก Company Outing ที่มีลักษณะแกมบังคับ และเป็นการไปเพื่ออบรม สังสรรค์ หรือทำกิจกรรมมากกว่าการไปทำงาน

แต่การสนับสนุนการทำงานแบบ Workation นี้ องค์กรก็จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในด้านของการกำหนดเป้าหมาย แผนงาน และวิธีทำงานเป็นทีม เพื่อพนักงานจะได้ไม่หลุดโฟกัสและสามารถเพิ่ม Productivity หรือผลิตผลของงานได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ 


ดังนั้นในขณะที่รัฐบาลมีการส่งเสริมการทำงานแบบ Workation ในกรุงเทพฯ ให้กับคนเดินทางทั่วโลกอย่างแข็งขัน และไลฟ์สไตล์ทำงานยุคใหม่ ได้ทั้งงานได้ทั้งการท่องเที่ยว ของบ้านเราก็กำลังบูมมาก หากเจ้าของกิจการท่องเที่ยวต่างๆ รีบดึงมาใช้เป็นกลยุทธ์พลิกฟื้นวิกฤต ด้วยการปรับปรุงสถานที่ของตนเองให้สวยงาม ผ่อนคลาย และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยมีเทคโนโลยีรองรับการติดต่อสื่อสารสำหรับการทำงานอย่างฉับไวตลอดเวลา ภายใต้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือเข้าพักไม่สูงเกินไปนัก

ก็น่าจะช่วยกระตุ้นธุรกิจและผลักดันให้กระแส Workation ยิ่งพุ่งแรงขึ้นอย่างมีคุณภาพ สมกับไลฟ์สไตล์ได้ทั้งงานได้ทั้งการท่องเที่ยวโลดๆ...

ข้อมูลอ้างอิง : www.holidu.co.uk, https://grovehr.com, www.cnbc.com  

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI