สมการความสูงของชักโครกต้องสูงเท่าไรถึงจะดีต่อผู้สูงวัย

06 กุมภาพันธ์ 2023
|
81 อ่านข่าวนี้
|
6

แก่แล้วไม่ดีเลย

เราได้ยินคำเปรยแกมบ่นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เวลาได้นั่งสนทนากับผู้สูงวัย หรือคนที่กำลังก้าวเข้าเส้นพรมแดนนั้น หลายสิ่งบ่งบอกให้เห็นผ่านกายภาพ ทั้งผิวพรรณ สีผม ฯลฯ การลดลงของสมรรถภาพทางกาย เช่น การเคลื่อนไหว การทรงตัว การมองเห็น การนอน ความจำ ฯลฯ ซึ่งบางเรื่องฟังไปก็ขำกันไป แต่บางอย่างก็ขำไม่ออก หากความแก่ชรานั้นกลายเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตและคุณภาพชีวิต 

                การสร้างสรรค์ของนักออกแบบที่ออกแบบผลิตภัณฑ์มารองรับการใช้งานของผู้สูงวัย จึงเป็นเหมือนทางสว่างที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังมี ‘ตัวช่วย’ ในการดำเนินชีวิต ยิ่งสังคมไทย หรือแม้กระทั่งสังคมโลกที่กำลังก้าวสู่สังคมสูงวัย และแนวโน้มของเปอร์เซ็นต์ประชากรสูงวัยกำลังสูงขึ้น ในขณะที่ประชากรวัยทำงานไปจนถึงแรกเกิด มีอัตราต่ำกว่าเดิม การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนสูงวัย จึงเป็นทิศทางของผู้ประกอบการที่มองไกลไปถึงอนาคต

                แต่กับสิ่งของสำคัญที่ต้องใช้งานทุกวันอย่างชักโครก หากไม่นับอุปกรณ์เสริมอย่างที่รองนั่ง ตัวช่วยพยุงสำหรับนั่งชักโครก หรือชักโครกเคลื่อนที่สำหรับผู้สูงวัยที่อยู่ในข่ายช่วยเหลือตัวเองลำบากแล้ว เรายังไม่พบว่ามีการออกแบบชักโครกที่เหมาะสมกับการนั่งทำธุระของผู้สูงวัยแบบติดตั้งถาวรออกมาให้เป็นตัวเลือกมากสักเท่าไรนัก

                จึงเกิดคำถามตามมาว่า แล้วชักโครกที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย ควรจะมีอะไรที่แตกต่างไปจากชักโครกผู้ใหญ่ทั่วไปหรือไม่ ด้วยสรีระและการเคลื่อนไหวที่ลดความสามารถลงตามวัย สิ่งที่จะเข้ามาซัพพอร์ตการใช้งานของคนสูงวัย ควรมีอะไรเป็นข้อคำนึง

                จากข้อมูลชุดหนึ่งในงานวิจัยหัวข้อ ‘ความสูงของที่นั่งชักโครกที่เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์สำหรับผู้สูงอายุ’ ของพรทิพย์ ทาบทอง ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ปี 2562 ของสาขาวิศวกรรมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้ได้ทราบว่า หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้งานชักโครกได้อย่างคล่องตัวและปลอดภัย ก็คือความสูงของชักโครก ที่มีการคำนวณค่าจากสัดส่วนความสูงของผู้ใช้งานนั่นเอง


ต้องอายุเท่าไรถึงจะเรียกว่าผู้สูงวัย?

                ข้อนี้มีเกณฑ์ตัดสินที่น่าสนใจ ในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 แบ่งกลุ่มผู้สูงวัยออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มวัยสูงอายุตอนต้น (60-69 ปี) เป็นช่วงที่ยังมีพลังช่วยเหลือตนเองได้ กลุ่มวัยสูงอายุตอนกลาง (70-79 ปี) เริ่มมีอาการเจ็บป่วย ร่างกายเริ่มอ่อนแอ มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง และกลุ่มวัยสูงอายุตอนปลาย (80 ปีขึ้นไป) เป็นวัยที่มีความเจ็บป่วยบ่อยขึ้น อวัยวะเสื่อมสภาพ และอาจมีภาวะทุพพลภาพ

                ส่วนนักชราวิทยา แบ่งช่วงสูงอายุออกเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงสูงอายุตอนต้น (60-69 ปี) เป็นช่วงที่คนต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นภาวะวิกฤติหลายด้าน เช่น การเกษียณอายุ การจากไปของคนสนิท โดยทั่วไปยังเป็นคนแข็งแรง แต่อาจต้องพึ่งพิงผู้อื่นบ้าง ช่วงสูงอายุตอนกลาง (70-79 ปี) เป็นช่วงที่เริ่มเจ็บป่วย เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมน้อยลง ช่วงสูงอายุตอนปลาย (80-90 ปี) จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมยากขึ้น ต้องมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ย้อนนึกถึงอดีตมากขึ้น และต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากกว่าวัยที่ผ่านมา และช่วงสูงอายุตอนปลายอย่างแท้จริง (ประมาณ 90-99 ปี) ที่มีจำนวนค่อนข้างน้อย เป็นระยะที่มักมีปัญหาทางสุขภาพ

                ในขณะที่องค์การอนามัยโลกแบ่งระดับ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ เอาไว้สามระดับด้วยกัน คือ ระดับที่ 1 ระดับการก้าวข้ามสู่สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งเพศชายและเพศหญิงมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี เกิน 7% ของประชากรทั้งประเทศ ระดับที่ 2 ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็น 20% หรือประชากรอายุ 65 ปี เพิ่มเป็น 14% ของประชากรทั้งประเทศ และระดับที่ 3 ระดับผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ที่สุด หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ

                ประเทศไทยเองนั้นมีอัตราการเพิ่มของประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ปี 2554 ระบุว่า ในปี 2553 อัตราการเพิ่มของประชากรสูงอายุมีระดับสูงกว่าอัตราการเพิ่มประชากรรวม โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

นั่นหมายความว่า ตอนนี้สังคมไทยได้ก้าวสู่สังคมสูงวัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วมานับสิบปี


ตัวเลขที่เหมาะสมของชักโครกผู้สูงวัย

รู้หรือไม่ว่า บ้านเรามีกฎหมายกำหนดความสูงของที่นั่งชักโครกที่เหมาะสมกับผู้สูงวัยอยู่ด้วย เป็นกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ.2548 ที่กำหนดให้ในอาคารต้องมีห้องน้ำแบบชักโครกสำหรับผู้สูงอายุ และกำหนดความสูงของที่นั่งชักโครกสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการไว้ที่ 45-50 เซนติเมตร (ในขณะที่การวัดความสูงของชักโครกที่จำหน่ายในท้องตลาดแสดงหน่วยวัดเป็นนิ้ว) ส่วนในต่างประเทศเองก็มีผลวิจัยออกมาว่า ความสูงของที่นั่งชักโครกต้องอยู่ในช่วง 100-120 เปอร์เซ็นต์ของความยาวขาส่วนล่างของแต่ละบุคคล

ในงานวิจัย ‘ความสูงของที่นั่งชักโครกที่เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์สำหรับผู้สูงอายุ’ ผู้วิจัยซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษาปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมทางการแพทย์ ได้ศึกษาห้าปัจจัยที่ผลต่อการลุกขึ้นยืนจากชักโครก และบ่งชี้ความสูงที่เหมาะสมของที่นั่งชักโครก คือ การทำงานของกล้ามเนื้อเหยียดขา การทำงานของกล้ามเนื้อเหยียดสะโพก แรงกดทับใต้ขา เวลาในการลุกขึ้นยืน และความพึงพอใจ

ระยะแรก ผู้วิจัยสำรวจข้อมูลบุคคลและสัดส่วนร่างกายในท่านั่ง ได้แก่ ความยาวขาส่วนล่าง ความกว้างของสะโพก และความยาวจากสะโพกถึงข้อพับหัวเข่า ในผู้สูงอายุไทยชายและหญิงอายุ 60 ปี เพื่อนำข้อมูลสัดส่วนร่างกายมาใช้ในการออกแบบชุดทดสอบชักโครกสามระดับ คือ 100 เปอร์เซ็นต์ 110 เปอร์เซ็นต์ และ 120 เปอร์เซ็นต์ของความยาวขาของอาสาสมัคร

การวิจัยระยะที่ 2 เป็นการศึกษากึ่งทดลองที่ศึกษากับอาสาสมัครกลุ่มเดิมจำนวน 30 คน พบว่า ระดับความสูงของที่นั่งชักโครก 120 เปอร์เซ็นต์นั้นทำให้กล้ามเนื้อทำงานมีประสิทธิภาพที่สุด ทำให้ลุกขึ้นยืนง่าย สนับสนุนงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า การลุกขึ้นยืนจากชักโครกในท่านั่งโน้มตัวไปข้างหน้านั้น กล้ามเนื้อกลุ่ม Quadriceps Femoris ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสี่มัดของกระดูกต้นขา จะทำงานน้อยกว่าในการเหยียดเข่าเมื่อเทียบกับการลุกขึ้นยืนในท่านั่งหลังตรง และความสูงของที่นั่งสามารถลดองศาในการเหยียดเข่าขณะลุกขึ้นยืน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ซึ่งเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ และการออกแบบ งานวิจัยนี้พบว่า ความพึงพอใจของผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มทดลองในการใช้งาน อยู่ที่ความสูงในระดับ 110 เปอร์เซ็นต์ จึงอาจกล่าวได้ว่า ความสูงของชักโครกที่ระดับ 110-120 เปอร์เซ็นต์ เป็นความสูงที่ควรพิจารณาในการใช้เป็นข้อมูลในการออกแบบ หรือเลือกผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการนั่งหรือลุกขึ้นยืนสำหรับผู้สูงอายุได้เช่นกัน

มีข้อแนะนำเป็นเกร็ดเล็กน้อยที่อยู่ในงานวิจัยชิ้นนี้ ถึงข้อเสนอแนะในการลุกขึ้นยืนจากชักโครกของผู้สูงอายุ เพื่อให้การลุกง่ายขึ้น และป้องกันการล้มขณะลุกขึ้นยืน คือ เวลาลุกต้องเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย การวางมืออยู่เหนือเข่า จะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายใกล้กับระยะพื้นที่เท้ารองรับก่อนลุกขึ้นยืน ก็จะทำให้ยืนง่าย และลดความเสี่ยงในการล้มไปข้างหลังได้

ทั้งการเลือกความสูงของชักโครก และการลุกขึ้นยืนให้ถูกวิธี จึงเป็นข้อปฏิบัติที่ผู้สูงอายุจำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่ อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันเซฟตัวเองให้พ้นจากความบาดเจ็บในวัยที่ร่างกายถดถอยลง

บทความนี้ ความร่วมมือระหว่าง Knowledge Portal by OKMD x Thairath Plus 

 

URL อ้างอิง: http://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:174455
ไฟล์ที่เกี่ยวข้อง:
0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI