สมการความสูงของชักโครกต้องสูงเท่าไรถึงจะดีต่อผู้สูงวัย
แก่แล้วไม่ดีเลย
เราได้ยินคำเปรยแกมบ่นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เวลาได้นั่งสนทนากับผู้สูงวัย หรือคนที่กำลังก้าวเข้าเส้นพรมแดนนั้น หลายสิ่งบ่งบอกให้เห็นผ่านกายภาพ ทั้งผิวพรรณ สีผม ฯลฯ การลดลงของสมรรถภาพทางกาย เช่น การเคลื่อนไหว การทรงตัว การมองเห็น การนอน ความจำ ฯลฯ ซึ่งบางเรื่องฟังไปก็ขำกันไป แต่บางอย่างก็ขำไม่ออก หากความแก่ชรานั้นกลายเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตและคุณภาพชีวิต
การสร้างสรรค์ของนักออกแบบที่ออกแบบผลิตภัณฑ์มารองรับการใช้งานของผู้สูงวัย
จึงเป็นเหมือนทางสว่างที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังมี ‘ตัวช่วย’ ในการดำเนินชีวิต
ยิ่งสังคมไทย หรือแม้กระทั่งสังคมโลกที่กำลังก้าวสู่สังคมสูงวัย
และแนวโน้มของเปอร์เซ็นต์ประชากรสูงวัยกำลังสูงขึ้น
ในขณะที่ประชากรวัยทำงานไปจนถึงแรกเกิด มีอัตราต่ำกว่าเดิม การออกแบบผลิตภัณฑ์
หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนสูงวัย
จึงเป็นทิศทางของผู้ประกอบการที่มองไกลไปถึงอนาคต
แต่กับสิ่งของสำคัญที่ต้องใช้งานทุกวันอย่างชักโครก
หากไม่นับอุปกรณ์เสริมอย่างที่รองนั่ง ตัวช่วยพยุงสำหรับนั่งชักโครก
หรือชักโครกเคลื่อนที่สำหรับผู้สูงวัยที่อยู่ในข่ายช่วยเหลือตัวเองลำบากแล้ว
เรายังไม่พบว่ามีการออกแบบชักโครกที่เหมาะสมกับการนั่งทำธุระของผู้สูงวัยแบบติดตั้งถาวรออกมาให้เป็นตัวเลือกมากสักเท่าไรนัก
จึงเกิดคำถามตามมาว่า
แล้วชักโครกที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย ควรจะมีอะไรที่แตกต่างไปจากชักโครกผู้ใหญ่ทั่วไปหรือไม่
ด้วยสรีระและการเคลื่อนไหวที่ลดความสามารถลงตามวัย
สิ่งที่จะเข้ามาซัพพอร์ตการใช้งานของคนสูงวัย ควรมีอะไรเป็นข้อคำนึง
ข้อนี้มีเกณฑ์ตัดสินที่น่าสนใจ
ในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 แบ่งกลุ่มผู้สูงวัยออกเป็นสามกลุ่ม คือ
กลุ่มวัยสูงอายุตอนต้น (60-69 ปี) เป็นช่วงที่ยังมีพลังช่วยเหลือตนเองได้
กลุ่มวัยสูงอายุตอนกลาง (70-79 ปี) เริ่มมีอาการเจ็บป่วย ร่างกายเริ่มอ่อนแอ
มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง และกลุ่มวัยสูงอายุตอนปลาย (80 ปีขึ้นไป)
เป็นวัยที่มีความเจ็บป่วยบ่อยขึ้น อวัยวะเสื่อมสภาพ และอาจมีภาวะทุพพลภาพ
ส่วนนักชราวิทยา แบ่งช่วงสูงอายุออกเป็น 4 ช่วง คือ
ช่วงสูงอายุตอนต้น (60-69 ปี)
เป็นช่วงที่คนต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นภาวะวิกฤติหลายด้าน เช่น
การเกษียณอายุ การจากไปของคนสนิท โดยทั่วไปยังเป็นคนแข็งแรง
แต่อาจต้องพึ่งพิงผู้อื่นบ้าง ช่วงสูงอายุตอนกลาง (70-79 ปี)
เป็นช่วงที่เริ่มเจ็บป่วย เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมน้อยลง ช่วงสูงอายุตอนปลาย
(80-90 ปี) จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมยากขึ้น ต้องมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ย้อนนึกถึงอดีตมากขึ้น และต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากกว่าวัยที่ผ่านมา
และช่วงสูงอายุตอนปลายอย่างแท้จริง (ประมาณ 90-99 ปี) ที่มีจำนวนค่อนข้างน้อย เป็นระยะที่มักมีปัญหาทางสุขภาพ
ในขณะที่องค์การอนามัยโลกแบ่งระดับ ‘สังคมผู้สูงอายุ’
เอาไว้สามระดับด้วยกัน คือ ระดับที่ 1 ระดับการก้าวข้ามสู่สังคมผู้สูงอายุ
หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป
รวมทั้งเพศชายและเพศหญิงมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ
หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี เกิน 7% ของประชากรทั้งประเทศ ระดับที่ 2
ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60
ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็น 20% หรือประชากรอายุ 65 ปี เพิ่มเป็น 14%
ของประชากรทั้งประเทศ และระดับที่ 3 ระดับผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ที่สุด
หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20%
ของประชากรทั้งประเทศ
ประเทศไทยเองนั้นมีอัตราการเพิ่มของประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ปี 2554 ระบุว่า ในปี 2553
อัตราการเพิ่มของประชากรสูงอายุมีระดับสูงกว่าอัตราการเพิ่มประชากรรวม
โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
นั่นหมายความว่า
ตอนนี้สังคมไทยได้ก้าวสู่สังคมสูงวัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วมานับสิบปี
รู้หรือไม่ว่า
บ้านเรามีกฎหมายกำหนดความสูงของที่นั่งชักโครกที่เหมาะสมกับผู้สูงวัยอยู่ด้วย
เป็นกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา
พ.ศ.2548 ที่กำหนดให้ในอาคารต้องมีห้องน้ำแบบชักโครกสำหรับผู้สูงอายุ
และกำหนดความสูงของที่นั่งชักโครกสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการไว้ที่ 45-50
เซนติเมตร
(ในขณะที่การวัดความสูงของชักโครกที่จำหน่ายในท้องตลาดแสดงหน่วยวัดเป็นนิ้ว)
ส่วนในต่างประเทศเองก็มีผลวิจัยออกมาว่า ความสูงของที่นั่งชักโครกต้องอยู่ในช่วง
100-120 เปอร์เซ็นต์ของความยาวขาส่วนล่างของแต่ละบุคคล
ในงานวิจัย
‘ความสูงของที่นั่งชักโครกที่เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์สำหรับผู้สูงอายุ’
ผู้วิจัยซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษาปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมทางการแพทย์
ได้ศึกษาห้าปัจจัยที่ผลต่อการลุกขึ้นยืนจากชักโครก
และบ่งชี้ความสูงที่เหมาะสมของที่นั่งชักโครก คือ การทำงานของกล้ามเนื้อเหยียดขา
การทำงานของกล้ามเนื้อเหยียดสะโพก แรงกดทับใต้ขา เวลาในการลุกขึ้นยืน
และความพึงพอใจ
ระยะแรก
ผู้วิจัยสำรวจข้อมูลบุคคลและสัดส่วนร่างกายในท่านั่ง ได้แก่ ความยาวขาส่วนล่าง
ความกว้างของสะโพก และความยาวจากสะโพกถึงข้อพับหัวเข่า
ในผู้สูงอายุไทยชายและหญิงอายุ 60 ปี
เพื่อนำข้อมูลสัดส่วนร่างกายมาใช้ในการออกแบบชุดทดสอบชักโครกสามระดับ คือ 100
เปอร์เซ็นต์ 110 เปอร์เซ็นต์ และ 120 เปอร์เซ็นต์ของความยาวขาของอาสาสมัคร
การวิจัยระยะที่
2 เป็นการศึกษากึ่งทดลองที่ศึกษากับอาสาสมัครกลุ่มเดิมจำนวน 30 คน พบว่า
ระดับความสูงของที่นั่งชักโครก 120
เปอร์เซ็นต์นั้นทำให้กล้ามเนื้อทำงานมีประสิทธิภาพที่สุด ทำให้ลุกขึ้นยืนง่าย
สนับสนุนงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า
การลุกขึ้นยืนจากชักโครกในท่านั่งโน้มตัวไปข้างหน้านั้น กล้ามเนื้อกลุ่ม
Quadriceps Femoris ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสี่มัดของกระดูกต้นขา จะทำงานน้อยกว่าในการเหยียดเข่าเมื่อเทียบกับการลุกขึ้นยืนในท่านั่งหลังตรง
และความสูงของที่นั่งสามารถลดองศาในการเหยียดเข่าขณะลุกขึ้นยืน
อย่างไรก็ตาม
เมื่อนำปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ซึ่งเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ และการออกแบบ
งานวิจัยนี้พบว่า ความพึงพอใจของผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มทดลองในการใช้งาน
อยู่ที่ความสูงในระดับ 110 เปอร์เซ็นต์ จึงอาจกล่าวได้ว่า
ความสูงของชักโครกที่ระดับ 110-120 เปอร์เซ็นต์
เป็นความสูงที่ควรพิจารณาในการใช้เป็นข้อมูลในการออกแบบ
หรือเลือกผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการนั่งหรือลุกขึ้นยืนสำหรับผู้สูงอายุได้เช่นกัน
มีข้อแนะนำเป็นเกร็ดเล็กน้อยที่อยู่ในงานวิจัยชิ้นนี้
ถึงข้อเสนอแนะในการลุกขึ้นยืนจากชักโครกของผู้สูงอายุ เพื่อให้การลุกง่ายขึ้น
และป้องกันการล้มขณะลุกขึ้นยืน คือ เวลาลุกต้องเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
การวางมืออยู่เหนือเข่า จะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายใกล้กับระยะพื้นที่เท้ารองรับก่อนลุกขึ้นยืน
ก็จะทำให้ยืนง่าย และลดความเสี่ยงในการล้มไปข้างหลังได้
ทั้งการเลือกความสูงของชักโครก
และการลุกขึ้นยืนให้ถูกวิธี
จึงเป็นข้อปฏิบัติที่ผู้สูงอายุจำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่
อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันเซฟตัวเองให้พ้นจากความบาดเจ็บในวัยที่ร่างกายถดถอยลง
URL อ้างอิง: http://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:174455

