Notifications

You are here

บทความ

ส่อง 3 เสาหลักการซื้อของในเมือง ร้านสะดวกซื้อ-ออน...

06 กุมภาพันธ์ 2023 22842 อ่านข่าวนี้ 1 ปีก่อน 14

'เมือง' ถือเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับประชากรในทุกประเทศ เพราะถือเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นจุดหมายปลายทางของการหลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ในอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากธนาคารโลกพบว่า เขตตัวเมืองในประเทศไทยขยายตัวจาก 2,400 มาเป็น 2,700 ตารางกิโลเมตร ระหว่างปี 2543 ถึง 2553 คิดเป็นอัตราขยายตัว 1.4% ต่อปี และประชากรเมืองในประเทศไทย (ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มากกว่า 100,000 คน) ได้เพิ่มขึ้นจาก 9 ล้านคนมาเป็นมากกว่า 11 ล้านคนแล้ว

ชีวิตของผู้คนในเมืองจึงมีความน่าสนใจในหลายๆ มิติ ในบทความชิ้นนี้จะขอหยิบยกเรื่อง 'การจับจ่ายใช้สอยของคนในเขตเมือง' ว่ามีลักษณะอย่างไรและมีแนวโน้มไปในทิศทางใดในอนาคต

จากงานวิจัย 'คนเมือง 4.0: อนาคตชีวิตเมืองในประเทศไทย โครงการย่อยที่ 5 - การซื้อของในเมือง' โดย พรสรร วิเชียรประดิษฐ์ และอภิวัฒน์ รัตนวราหะ เสนอต่อสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 เผยแพร่เมื่อปี 2563 งานชิ้นนี้ศึกษาเกี่ยวกับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของคนในเมือง ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับการค้าปลีก ทั้ง ‘การค้าปลีกแบบดั้งเดิม’ (traditional trade) ‘การค้าปลีกสมัยใหม่’ (modern trade) ซึ่งกําลังถูกท้าทายด้วยการค้าปลีกรูปแบบใหม่ คือ 'อีคอมเมิร์ซ' (E-commerce) ที่กําลังเข้ามามีบทบาทกับชีวิตคนเมืองมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้



การถดถอยของ 'ค้าปลีกดั้งเดิม' ส่วน 'ร้านสะดวกซื้อ' รุกคืบพื้นที่เมืองเรื่อยๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน 'การค้าปลีกดั้งเดิม' (ตลาดสด ร้านโชห่วย และอื่นๆ) ขยายตัวลดลง สวนทางกับ 'การค้าปลีกสมัยใหม่' (ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ) ที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่น 'ร้านโชห่วย' ที่เคยมีความสำคัญในชุมชนเมือง จากสถิติสัดส่วนแบ่งตลาดอุปโภคและบริโภคในปี 2555 และ 2560 พบว่า ร้านโชห่วยและร้านค้าในชุมชนมีส่วนแบ่งที่ 34.3% ส่วนร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น แฟมิลีมาร์ท มีส่วนแบ่งที่ 13.8% ในปี 2555 แต่ในปี 2560 พบว่า ส่วนแบ่งของร้านโชห่วยและร้านค้าในชุมชนลดลงเหลือ 32.4% ส่วนร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 17% โดยปัจจุบันประเทศไทยมีร้านสะดวกซื้อต่อจำนวนประชากร อยู่ที่ราว 200 สาขาต่อประชากร 1 ล้านคน และยังสามารถเติบโตได้อีกมากตามการขยายพื้นที่เมืองในประเทศไทย

ในเมืองที่มีกลุ่มคนชั้นกลางและคนโสดมากขึ้นนั้น ได้สร้างวิถีการบริโภคภายใต้ระบบ 'เศรษฐกิจขี้เกียจ' (Lazy Economy) ที่ตอบสนองผู้บริโภคที่เน้นสบายและชอบความรวดเร็ว มีความสะดวกทุกด้าน

ภายใต้วิถีทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อรายใหญ่จึงให้บริการที่สอดคล้องกับพฤติกรรมคนเมือง เช่น ร้านสะดวกซื้อที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง มีการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น มีบริการส่งอาหารถึงบ้าน ให้บริการที่หลากหลายมากขึ้นในรูปแบบวันสต็อปเซอร์วิส เช่น การเพิ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็น 5,000 รายการ บริการอาหารปรุงสด บริการรับส่งพัสดุ บริการทางารเงิน และการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้ ร้านสะดวกซื้อจึงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ไม่เฉพาะกับร้านโชห่วยเท่านั้น แต่ยังท้าทายธุรกิจรายเล็กอื่นๆ ในชุมชน เช่น ร้านอาหารตามสั่ง ร้านขายผลไม้ แผงลอยต่างๆ ด้วย



'อีคอมเมิร์ซ' และ 'บริการช่วยซื้อ'

ผู้บริโภคในเมืองยังใช้ 'อีคอมเมิร์ซ' มากขึ้น จากเดิมที่เคยใช้บริการร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ เปลี่ยนไปใช้ช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อของผ่าน ‘แอปพลิเคชัน’ ที่เติบโตขึ้นมาควบคู่กับการใช้ ‘สมาร์ตโฟน’ ของคนไทย

การที่อีคอมเมิร์ซเติบโต ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจโลจิสติกส์ที่เฟื่องฟูมากขึ้น และความสะดวกทางธุรกรรมการเงินอย่างเช่นในปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น อีกทั้งยังเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของคนเมืองในปัจจุบันซึ่งมีเวลาจำกัด

นอกจากนี้ 'บริการช่วยซื้อ' หรือ บริการตัวแทนในการเดินทางไปซื้อของหรือทำธุรกรรมต่างๆ เช่น การส่งของ การจ่ายบิล ก็สามารถประหยัดเวลาในการใช้ชีวิตในเมืองได้ ผู้ให้บริการช่วยซื้อมีหลายประเภท เช่น บริการช่วยซื้อสินค้าทั่วไป อาทิ GrabBike (Delivery) และ Lalamove บริการช่วยซื้อและจัดส่งอาหาร เช่น GrabFood Lineman FoodPanda และ GET และบริการช่วยซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น GrabFresh HappyFresh และ Lineman Mart Service เป็นต้น บริการช่วยซื้อเหล่านี้สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่เร่งรีบให้สามารถก้าวข้ามปัญหาการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ 

'รถพุ่มพวง' ตัวเลือกของ 'คนชานเมือง-กลุ่มเปราะบาง'

งานวิจัยชิ้นนี้ระบุถึงรถเร่ขายกับข้าว หรือที่มักถูกเรียกว่า 'รถพุ่มพวง' ถือเป็นอีกช่องทางการเข้าถึงอาหารสดและอาหารปรุงสำเร็จในชีวิตประจำวันของคนเมือง โดยรถพุ่มพวงจะนำสินค้าจากตลาดสด เช่น อาหารสด ของแห้ง ใส่ในรถกระบะที่มีการดัดแปลง เพื่อเร่ขายไปยังชุมชนที่ห่างไกลจากตลาด หรือพื้นที่ที่เป็นหมู่บ้านจัดสรรที่การเข้าออกไม่สะดวก กลุ่มลูกค้าของรถพุ่มพวงที่สำคัญคือ 1) กลุ่มลูกค้าในหมู่บ้าน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการเดินทาง แม่บ้าน และคนรับใช้ 2) กลุ่มลูกค้าในโรงงานและไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งมีข้อจำกัดในด้านเวลาในการเดินทางไปซื้อของ

รถพุ่มพวงจึงเป็นการเติมเต็มการให้บริการสาธารณูปโภคของเมืองที่ไม่เพียงพอ และขยายขอบเขตการให้บริการไปให้ผู้ที่อยู่ชานเมือง ถึงแม้รถพุ่มพวงจำหน่ายสินค้าในราคาที่แพงกว่าตลาดประมาณ 10-15% แต่กลุ่มลูกค้าก็เลือกใช้บริการจากรถพุ่มพวง เพราะถือว่าเป็นการซื้อความสะดวกจากข้อจำกัดที่ตัวเองมีอยู่

'12 ภาพอนาคต' การซื้อของคนในเมือง

ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้ให้ภาพ 'อนาคตฐาน' (baseline future) จากแนวโน้มสำคัญที่มองเห็นอยู่ในปัจจุบันไว้ 12 ภาพอนาคต ดังนี้

1. การซื้อของออนไลน์จะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยห้างสรรพสินค้าจะได้รับผลกระทบชัดที่สุด พื้นที่ให้เช่าภายในอาคารที่ว่างเพิ่มมากขึ้น และถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่สำหรับการใช้ประโยชน์อื่น เช่น สำนักงาน พื้นที่สำหรับชุมชน หรือแมแต่ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

2. ร้านสะดวกซื้อจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น และจะมีการเพิ่มบริการอย่างต่อเนื่อง อาจแตกออกเป็นแบรนด์ย่อยที่มีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็ก กลุ่มผู้รักสุขภาพ เป็นต้น โดยจะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นตามแหล่งชุมชนต่างๆ ทำให้ความหนาแน่นของร้านสะดวกซื้อต่อประชากรในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มมากขึ้น

3. ร้านค้ารายย่อยที่ยังอยู่เป็นร้านอาหารหรือร้านจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ ร้านค้ารายย่อยที่ยังคงอยู่รอด ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารหรือร้านจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ โดยในพื้นที่กลางเมืองจะเน้นการให้บริการแก่คนทำงานและนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ร้านค้ารายย่อยชานเมืองจะกระจุกอยู่ตามแหล่งชุมชนเพื่อบริการคนที่เดินทางไปกลับจากการทำงานในเมือง

4. ตลาดขนาดเล็กจะเริ่มปิดตัวลง โดยเฉพาะในพื้นที่ชานเมือง เนื่องจากความต้องการที่ดินไปพัฒนากิจการอื่นมีมากกว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชานเมืองจะพึ่งพาซูเปอร์มาร์เก็ต และตลาดนัดมากขึ้น ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กน่าจะขยายตัวมากขึ้น

5. ห้างสรรพสินค้าจะปรับตัวไปให้บริการอย่างอื่นมากขึ้น ห้างสรรพสินค้าที่กระจายอยู่ในเมืองและตามชานเมืองในปัจจุบัน จะมีพื้นที่ขายที่ว่างมากขึ้น และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่ร้านอาหาร หรือกิจการอย่างอื่น เช่น ฟิตเนส โรงเรียนสอนตัดเย็บ โรงเรียนสอนเต้น ให้เช่าสำหรับหน่วยราชการที่ต้องบริการประชาชน หรือกลายเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมของชุมชน เป็นต้น

6. การขนส่งสินค้าจะเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ปริมาณการขนส่งสินค้าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอุปสงค์ที่เกิดจากส่วนที่เป็นอีคอมเมิร์ซ และส่วนที่เป็นการซื้อที่ร้านและจัดส่งภายหลัง เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความสะดวกในเวลาที่ซื้อของปริมาณมาก

7. แพลตฟอร์มของอีคอมเมิร์ซจะเติบโตขึ้น ในที่สุดจะเหลือผู้ให้บริการอยู่ไม่กี่ราย โดยจะมีแพลตฟอร์มของผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งรับผิดชอบการขายสินค้าออนไลน์ของกิจการในเครือและพันธมิตร

8. เมืองจะก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด การชำระเงินมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในรูปแบบไร้เงินสดมากขึ้นเนื่องจากตลาดอีคอมเมิร์ซจะเติบโตขึ้น รวมถึงนโยบายสนับสนุนของรัฐและกลุ่มธุรกิจธนาคารที่พยายามผลักดันให้ลดการใช้เงินสด

9. การจ้างงานในภาคบริการจะขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากมีรูปแบบการค้าที่จะโตขึ้นและบางส่วนจะถดถอยลงไป ในขณะที่การจ้างงานในภาคขนส่งจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปริมาณการขนส่งสินค้าจะเพิ่มมากขึ้นดังที่กล่าวไว้

10. ระบบโลจิสติกส์จะเป็นการขยายผล ผู้ประกอบการขนส่งเอกชนน่าจะขยายโครงข่ายการให้บริการได้กว้างขวางขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีผู้ประกอบการหลายรายที่ให้บริการต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อสร้างความแตกต่าง และผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งต่างๆ อาจสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการขนส่งบางรายเป็นพิเศษ คลังขนส่งสินค้าขนาดเล็กจะเพิ่มมากขึ้นในทุกบริเวณของพื้นที่เมือง

11. ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงช่องทางการซื้อจะมากขึ้น กลุ่มคนที่มีทางเลือกจะไม่ได้รับผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากมีช่องทางใหม่ๆ สำหรับการซื้อของเพิ่มมากขึ้น แต่กลุ่มคนที่มีทางเลือกในการซื้อของน้อย เช่น คนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี หรือเดินทางไม่สะดวกอาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมของการซื้อของในเมืองที่เปลี่ยนไป

12. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลภาวะจะกระตุ้นอีคอมเมิร์ซและการพัฒนาเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลภาวะจะเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้อีคอมเมิร์ซขยายตัวมากยิ่งขึ้น เพราะผู้คนต้องการลดความเสี่ยงในการเดินทางที่ไม่จำเป็น มีการขนส่งสินค้ารูปแบบใหม่ๆ เช่น โดรนขนส่งสินค้า เป็นต้น

รัฐต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม-ให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัว

จากภาพอนาคตฐานทั้ง 12 ข้อที่กล่าวมา ในงานวิจัยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับอนาคตฐานของการซื้อของของคนเมืองในกรุงเทพฯ คือ ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ที่มองว่า ภาครัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น ศูนย์โลจิสติกส์รวม หรือสนับสนุนให้ภาคเอกชนพัฒนาให้สอดคล้องกับระบบที่วางเอาไว้ ทั้งการเชื่อมต่อกับการขนส่งทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบสื่อสารดาวเทียม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ ต้องกำกับดูแล รวมถึงส่งเสริมภาคเอกชนที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล

ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการตลาด: ความสะดวกในการเข้าถึงและการแข่งขันที่เป็นธรรม ภาครัฐควรเข้ามามีส่วนบริหารจัดการตลาดที่กำลังเปลี่ยนโฉมไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยการสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกในการเข้าถึงสินค้า สร้างมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการให้บริการเพื่อผู้ด้อยโอกาสที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ไม่ทิ้งกลุ่มผู้ด้อยโอกาสไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ ภาครัฐยังจำเป็นต้องสร้างกฎเกณฑ์เพื่อให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการที่เป็นธรรม รวมทั้งส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการที่หลากหลาย เพื่อป้องกันการผูกขาดของตลาด

และ ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ: ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัว ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยก้าวหน้ามาพอสมควรแล้ว  แต่ภาครัฐควรมีส่วนเข้ามาสร้างมาตรฐานเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เพื่อสร้างความมั่นใจและความโปร่งใสให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ภาครัฐควรกำกับดูแลการนำข้อมูลของประชาชนไปใช้ เช่น การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในเชิงการตลาดจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน เพื่อคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค

URL อ้างอิง: https://www.khonthai4-0.net/content_detail.php?id=114

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้ (Cookie) เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ นโยบายคุกกี้
ยอมรับ