เที่ยวฟินอินเลิฟในชัยปุระ นครแห่งสีชมพู
เมื่อก่อนเวลาอยากไปเที่ยวฟินอินเลิฟในอินเดีย
ดินแดนแห่งอารยธรรม เรามักจะนึกถึงทัชมาฮาล-อนุสรณ์แห่งความรักบันลือโลก
ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองอัครา เป็นอันดับแรก แต่เดี๋ยวนี้เรากลับนึกถึงเมืองชัยปุระมากกว่า
เพราะกำลังอินเทรนด์ด้วยสีสันของเมืองที่ถูกระบัดระบายเป็นสีชมพูทั้งเมือง
จนได้ชื่อว่า ‘นครแห่งสีชมพู’ (Pink
City)
อย่างไรก็ตาม สีชมพูของเมืองชัยปุระ
หรือจัยปูร์ (Jaipur) ไม่ได้มีความหมายสื่อถึงความรักอันหวานซึ้งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเมืองหลักของรัฐราชสถาน
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอินเดียแห่งนี้
ได้รับการตกแต่งทาสีอาคารบ้านเรือนต่างๆ ให้สดใสเป็นสีชมพู เพื่อต้อนรับการเสด็จมาเยือนของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งเวลส์
(ต่อมาทรงขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร)
เมื่อปี ค.ศ.1876 ในสมัยมหาราช ซาราม ซิงห์
เป็นผู้ปกครองเมืองเท่านั้น แต่เหตุจากนิยามสีชมพูคือสีของรักแท้หรือรักอันบริสุทธิ์
จึงทำให้ชัยปุระกลายเป็นเมืองฮิตสำหรับการท่องเที่ยวแบบอินเลิฟหรือฮันนีมูนหลังแต่งงานอย่างมีความสุขไปโดยปริยาย
แต่ถึงจะไม่มีความหมายข้องเกี่ยวกับความรัก
ทว่าสีชมพูของเมืองก็ยังคงส่งผลให้บรรยากาศยามเยี่ยมยลอบอวลไปด้วยความโรแมนติกอยู่ดี
แถมเป็นความโรแมนติกในความเก่าแก่โบราณของบ้านเมือง ซึ่งก่อตั้งขึ้นราวปี ค.ศ.1727 โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2 เจ้าผู้ครองนครอาเมร์
และสร้างขึ้นจากการอิงหลักในตำราศิลปศาสตร์แห่งสถาปัตยกรรมของอินเดียดั้งเดิม
ที่มีการแบ่งผังเมืองออกเป็น 9 ส่วนเท่าๆ กันแบบตารางหมากรุก
โดยกำหนดให้ 2 ส่วนเป็นที่ตั้งของพระราชวังกับสถานที่ราชการทั้งหลาย
ส่วนอีก 7 ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับประชาชนทั่วไป
สำหรับชื่อเมืองชัยปุระ ตามความหมายอันแท้จริง
แปลว่า เมืองแห่งชัยชนะ ส่วนสมญานามว่า นครแห่งสีชมพู
ก็เป็นไปตามเหตุผลที่เล่าไว้ข้างต้น ซึ่งหลังจากการเสด็จมาเยือนของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งเวลส์แล้ว
เมืองนี้ก็ยังคงอนุรักษ์สีชมพูเอาไว้จนถึงปัจจุบัน และถือเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ยิ่งกว่านั้นภายในเมืองยังมีปราสาท ราชวัง และป้อมปราการอันสวยงามให้ท่องเที่ยวมากมายหลายจุดด้วย
จุดแรกเปรียบเสมือนแลนด์มาร์กพลาดไม่ได้ของเมืองเลย
นั่นคือพระราชวังสายลม หรือ ฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) เป็นอาคาร 5 ชั้น ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียผสมโมกุล สร้างจากหินทรายสีชมพูและสีแดง
โดยนอกจากสีชมพูอมแดงส้มที่ฉาบอาคารอย่างเจิดจรัสแล้ว พระราชวังแห่งนี้ยังมหัศจรรย์ด้วยช่องหน้าต่างเล็กๆ
มากถึง 953 บาน ดูคล้ายรังผึ้ง ซึ่งถอดแบบมาจากรูปทรงมงกุฎของพระกฤษณะ
และช่องหน้าต่างประดับด้วยกระจกสีและลวดลายฉลุแสนงดงาม เพื่อเป็นทั้งช่องลมผ่านและมีไว้สำหรับสตรีในราชสำนักมองออกไปดูวิถีชีวิตผู้คนภายนอก
แต่ผู้คนภายนอกไม่สามารถมองเข้ามาเห็นพระราชวังภายในได้
จากนั้นก็ต้องไปเยือนพระราชวังหลวง
หรือซิตี้ พาเลซ (The
City Palace) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง รวมถึงส่วนของพระราชวังสายลมด้วย สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1797 ในสมัยมหาราชาสวัย จัย ซิงห์ ที่ 2 มีจุดเด่นที่ลักษณะสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียผสมโมกุลเช่นกัน
ภายในประกอบด้วยส่วนพระราชวัง, พิพิธภัณฑ์สวัย มาน ซิงห์ ที่รวบรวมสมบัติของพระราชวงศ์, ส่วนแสดงชุดศึกสงคราม และส่วนแสดงศิลปะภาพวาดกับรูปถ่าย อีกทั้งยังมีส่วนที่เป็นพระราชวังสำหรับผู้สืบเชื้อสายมหาราชาเมืองชัยปุระองค์ปัจจุบันพำนักอยู่ด้วย
ทำให้สามารถเที่ยวฟินอินเลิฟได้อย่างเต็มที่
สำหรับจุดเที่ยวต่อไปเพิ่มดีกรีความอินเลิฟกันที่
หอดูดาวจันทาร์ มันทาร์ (Jantar
Mantar) ซึ่งตั้งอยู่ในขอบเขตพระราชวังหลวงนี่แหละ สร้างขึ้นในสมัยมหาราชาสวาอี
ชัยสิงห์ที่ 2 ผู้ทรงสนพระทัยในเรื่องดาราศาสตร์ ลักษณะของสถาปัตยกรรมที่นี่ผสมผสานเรื่องราวระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะได้อย่างลงตัว
โดยภายในมีนาฬิกาแดดขนาดใหญ่ที่วัดเวลาได้อย่างแม่นยำ และในสมัยโบราณเคยใช้เป็นเครื่องมือคำนวณฤกษ์ยามในการออกรบ
จึงนับว่าเลอค่าจนองค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2010
เสร็จแล้วจึงค่อยออกนอกเมืองไปเที่ยวชมพระราชวังฤดูร้อนจัล
มาฮาล (Jal
Mahal Palace) กับป้อมปราการแอมเบอร์ (Amber Fort) โดยพระราชวังฤดูร้อนจัล มาฮาล หรือเรียกกันว่า พระราชวังกลางน้ำ นั้น
ตั้งเด่นอยู่กลางทะเลสาบมันสกา มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเบงกอล สร้างขึ้นจากหินทรายสีแดง
และสมัยก่อนใช้สำหรับพระราชวงศ์มาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน เดิมสูง 5 ชั้น แต่ปัจจุบัน 4 ชั้นล่างจะถูกน้ำท่วมเมื่อทะเลสาบมีระดับน้ำสูงสุด
จึงเหลือเพียงชั้นบนสุดเท่านั้นที่เผยขึ้นมาเหนือน้ำ ทำให้กลายเป็นไฮไลต์อันสวยงามอวดสายตาผู้คน
ภายหลังเลยมีการปรับเปลี่ยนที่นี่เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวชมได้จากจุดชมวิวริมทะเลสาบด้านนอกเท่านั้น
ส่วนป้อมปราการแอมเบอร์ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่ห้อมล้อมด้วยทิวเขารอบด้าน เหนือทะเลสาบเมาตา
มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่งามจับตา และกำแพงที่อลังการเหมือนกำแพงเมืองจีนความยาวกว่า
13 กิโลเมตร เหมาะกับการควงแขนขึ้นมาชมวิวทิวทัศน์และนครแห่งสีชมพูที่อยู่เบื้องล่างอย่างที่สุด
นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่ให้เที่ยวฟินอีกหลายจุด
อาทิเช่น ป้อมปราการนาหรครห์ (Nahargarh Fort)
ป้อมปกป้องเมืองที่สร้างอย่างงามวิจิตร, บ่อน้ำพานนา มีนา กา
คุนด์ (Pann Meena Ka Kund) บ่อน้ำโบราณแบบขั้นบันไดซึ่งออกแบบบันไดเป็นแนวทแยง
8 ชั้น ทำให้คนจำนวนมากเดินจากปากบ่อลงไปยังด้านล่างสุดได้ในเวลาพร้อมกัน
หรือบ่อน้ำแชนด์ เบารี (Chand Baori) บ่อน้ำแบบขั้นบันไดอายุพันกว่าปีที่ลึกที่สุดในอินเดีย
ซึ่งเคยใช้เป็นฉากในการถ่ายทำหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง The Dark Knight Rises เป็นต้น
ดังนั้นใครที่ไม่อยากตกเทรนด์ ก็คงต้องวางแผนไปเช็กอินตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ
ในนครแห่งสีชมพูนี้แล้วล่ะ รับรองทั้งฟินทั้งอินเลิฟอย่างมีคุณค่าแน่นอน...
ข้อมูลอ้างอิง : www.wikipedia.org, www.tripadvisor.com

