Notifications

You are here

บทความ

PET FRIENDLY OFFICE เทรนด์ออฟฟิศยุคใหม่ พาสัตว์เลี...

15 กุมภาพันธ์ 2023 1440 อ่านข่าวนี้ 1 ปีก่อน 14


            กล่าวได้ว่า ปัจจุบันปรากฏการณ์ของการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนหนึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวมีความเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ตัวเลขของคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยมีสาเหตุหลักมาจากไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวเดี่ยวที่เน้นมีบุตรน้อยลง จำนวนคนครองโสดหรืออยู่เป็นคู่กับคนเพศเดียวกันเพิ่มขึ้น และโลกก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) อย่างสมบูรณ์แบบ คนจึงรู้สึกโดดเดี่ยวขาดพลังชีวิต การหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อผ่อนคลายความเหงาและเติมเต็มความสุข ก็เลยได้รับความนิยมจนกลายเป็นเทรนด์สัตว์เลี้ยง

            นอกจากนั้น เทรนด์สัตว์เลี้ยงยังบูมในหมู่คนรุ่นใหม่ Gen Z ด้วย เพราะพวกเขามองว่าสัตว์เลี้ยงเป็น Starter Children ของชีวิตนั่นเอง ทำให้ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเลี้ยงสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขและแมว

ความจริงเทรนด์สัตว์เลี้ยงนี้ไม่ใช่เทรนด์ใหม่นัก เพียงแต่มาบูมยิ่งขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด อันเนื่องจากเกิดวิถีการทำงานใหม่แบบ Work from Home หรือการทำงานมาจากที่บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อและแพร่กระจายเชื้อโรค ทำให้ยอดคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว เพราะสัตว์เลี้ยงช่วยลดความเครียดและความหดหู่จากการต้องอยู่บ้านนานๆ ได้อย่างดี

แต่จะไม่ดีก็ตรงที่คนเลี้ยงมักรักและผูกพันกับสัตว์เลี้ยงลึกซึ้งจนไม่อยากอยู่ห่างหรือทิ้งไว้ไกลๆ ดังนั้นเมื่อสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดคลี่คลาย ออฟฟิศต่างๆ ทยอยกลับมาเปิดทำงานได้ตามปกติ พนักงานเหล่านี้จึงประสบปัญหากังวลใจว่า จะดูแลหรือจัดการสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนเองอย่างไร เพราะงานก็ต้องทำ สัตว์เลี้ยงก็ต้องดูแล


นี่จึงเป็นแรงส่งให้มีการพูดถึงออฟฟิศแบบยืดหยุ่นที่เรียกว่า Pet Friendly Office หรือออฟฟิศที่พนักงานสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาทำงานด้วยได้หนาหูขึ้น ซึ่งองค์กรระดับโลกหลายแห่งในเมืองนอกก็ได้ใช้เทคนิคของออฟฟิศแบบนี้มาแก้ปัญหา ก่อนหน้านานแล้ว เพื่อช่วยลดความตึงเครียดของพนักงานที่มีสัตว์เลี้ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งขึ้น

โดยงานวิจัยจากหลายสถาบันก็ระบุไปในทางเดียวกันว่า การมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในออฟฟิศด้วยนั้น ช่วยส่งผลดีต่อการทำงานของพนักงานจริง ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Minnesota, มหาวิทยาลัย California หรือมหาวิทยาลัย Missouri เนื่องจากเวลาคนเราได้เห็น ได้เล่น หรือได้อยู่ใกล้ๆ กับสัตว์เลี้ยง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข เช่น เซโรโทนิน ออกซิโตซิน หรือเอ็นดอร์ฟินออกมาช่วยลดความเครียด และปรับอารมณ์ด้านลบให้กลับมาผ่อนคลาย ก็เลยทำให้มีพลังต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

ยกตัวอย่างองค์กรดังๆ ที่มีนโยบายออฟฟิศแบบเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ก็เช่น Google นอกจากยืดหยุ่นให้พนักงานพาสุนัขและเจ้าสี่ขาอื่นๆ มาทำงานด้วยได้แล้ว ยังมีพนักงานดูแลสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ให้เป็นพิเศษอีกต่างหาก หรือ Amazon ก็อนุญาตให้พนักงานพาสัตว์เลี้ยงมาทำงานด้วยได้อย่างไม่จำกัดจำนวน จนว่ากันว่าตอนนี้สำนักงานใหญ่ที่ซีแอตเทิลมีสุนัขมากกว่า 500 ตัวเข้ามาทำงานพร้อมกับเจ้าของทุกวัน ท่ามกลางรอยยิ้มของผู้คนที่ผ่านไปมา อย่างไรก็ตาม การยืดหยุ่นหรืออนุญาตดังกล่าว เขามีการทำข้อตกลงและเห็นชอบร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาปล่อยให้มีสัตว์เลี้ยงเพ่นพล่านอยู่ในออฟฟิศเฉยๆ หรอก


สำหรับในเมืองไทยเอง เทรนด์สัตว์เลี้ยงก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยผลสำรวจล่าสุดจากสมาคมอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงไทย พบว่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 10% และมูลค่าทางการตลาดสูงเกือบ 4 หมื่นล้านต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมคนรักสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนจาก Pet Lover ที่แค่รักและอยากมีสัตว์เลี้ยง มาเป็น Pet Parent แบบรักและผูกพันกับสัตว์เลี้ยงมากเสมือนเป็นลูกคนหนึ่ง ก็ยิ่งทำให้มูลค่าทางการตลาดของสัตว์เลี้ยงสูงขึ้น เพราะ Pet Parent ยินดีทุ่มทุนให้กับสัตว์เลี้ยงของตนเองได้หมด เข้าทำนองตนเองอดได้ แต่ลูกต้องไม่อด หรือตัวต้องติดกันตลอด ห่างไปไหนไม่ได้เลย


ดังนั้นเมื่อเหล่าพนักงานรักสัตว์เลี้ยงต้องกลับมาทำงานรูดบัตรเข้าออฟฟิศอีกครั้ง หลายคนจึงกังวลหนักกับการปล่อยสัตว์เลี้ยงไว้ที่บ้านลำพัง เลยยอมเลือกสละงานเพื่ออยู่ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดต่อไป แม้งานจะสำคัญและหายากก็ตาม  

จึงไม่น่าแปลกใจ หากกระแสของ Pet Friendly Office ซึ่งเคยเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเราจะกลายเป็นเทรนด์ตอบโจทย์การทำงานที่มาแรงในตอนนี้ ซ้อนเทรนด์สัตว์เลี้ยงเข้าไปอีก เพราะช่วยให้พนักงานรักสัตว์ไม่ต้องลาออกจากงาน ส่วนองค์กรก็สามารถรักษาพนักงานเหล่านี้เอาไว้ได้ แถมยังได้รับอานิสงค์อื่นๆ จากการมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในออฟฟิศตามมาด้วย เช่น ช่วยลดความเครียดของพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ของพนักงานให้ดีขึ้น และช่วยให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีกว่าเก่า เนื่องจากไม่ต้องนั่งตัวติดโต๊ะตลอดเวลา แต่สามารถลุกมาเล่นสนุกกับสัตว์เลี้ยงในช่วงสั้นๆ ได้ 

เรียกว่าเป็นเทรนด์ที่ดีงามทั้งกับพนักงานและองค์กรเลยทีเดียว แต่ว่าจะดีงามอย่างแท้จริงหรือไม่ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรว่า ได้คำนึงถึงความเห็นชอบของพนักงานคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงและกฎระเบียบอันรัดกุมต่างๆ มากน้อยแค่ไหน ซึ่งโดยทั่วไปควรต้องมีการทำข้อตกลงภายในองค์กรอย่างถี่ถ้วนก่อน เพื่อให้การทำงานและการอยู่ร่วมกันของพนักงานเป็นไปอย่างราบรื่น


โดยสาระของข้อตกลงหลักๆ ที่องค์กรต้องนำมาใช้พิจารณา ควรมีดังนี้

1.      มีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานทุกคนก่อน เพราะบางคนอาจไม่ได้เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง หรืออาจเป็นโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็ได้ จึงต้องหาทางยืดหยุ่นที่ดีกับทั้งสองฝ่าย

2.      มีการวางกฎระเบียบสำหรับพนักงานที่พาสัตว์เลี้ยงมาทำงานด้วยอย่างเคร่งครัด เช่น ต้องพาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วน ต้องดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีสุขอนามัยที่ดีเสมอ และต้องไม่หมกหมุ่นกับการเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเองมากเกินไปจนเสียงานเสียการ

3.      มีการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงไว้อย่างเพียงพอและออกแบบอย่างเหมาะสม ภายใต้การดูแลความสะอาดและความปลอดภัยสูงสุด มีรั้วรอบขอบชิดให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในอาณาเขตที่กำหนด ไม่ไปรบกวนหรือสร้างความรำคาญให้กับพนักงานอื่นหรือบุคคลที่เข้ามาติดต่องานในองค์กร

สรุปว่าถ้าองค์กรต่างๆ ทำข้อตกลงดังกล่าวร่วมกันได้ ต่อไปเมืองไทยคงมีภาพพนักงานจูงสัตว์เลี้ยงมาทำงานด้วย ปรากฏให้เห็นตามเทรนด์ของออฟฟิศยุคใหม่บ่อยขึ้นแน่ๆ เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้ก็มีหลายองค์กรหันมาใช้นโยบายออฟฟิศแบบนี้กันอย่างไม่มีปัญหาบ้างแล้ว...

 ·       ข้อมูลอ้างอิง : https://www.thelongdog.comm, https://www.geekwire.com

URL อ้างอิง:

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้ (Cookie) เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ นโยบายคุกกี้
ยอมรับ