ปั่นพระนคร ตะลอนย่านเก่า
ปั่นจักรยานเป็นกิจกรรมเพลินใจอย่างหนึ่งที่เหมาะกับวันพักผ่อนของคนเมือง ซึ่งนอกจากจะทำให้เพลินใจไปกับความเนิบช้าลงแล้ว การปั่นจักรยานยังช่วยให้เห็นรายละเอียดระหว่างทางที่ปั่นอีกด้วย ยิ่งหากเป็นการปั่นเที่ยวในเขตพระนคร บนเกาะรัตนโกสินทร์ เพื่อตะลอนตามย่านเก่าของกรุงเทพฯ ก็ยิ่งมีโอกาสเห็นรายละเอียดต่างๆ ที่มีคุณค่าของสถานที่เหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น
สำหรับหมุดหมายของการปั่น เริ่มต้นกันที่ ‘สะดือเมือง’ หรือศูนย์กลางของพระนคร ซึ่งย้อนไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเลือกพื้นที่สะดือเมืองโดยวัดจากกำแพงเมืองด้านฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางตะวันตกถึงกำแพงเมืองฝั่งป้อมมหากาฬ หรือก็คือบริเวณเสาชิงช้าและวัดสุทัศน์เทพวราราม นั่นเอง โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เสาชิงช้า’ นี้ ขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2327 เพื่อสื่อถึงความเป็นศูนย์กลางของพระนคร และใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ตามคติความเชื่อพราหมณ์-ฮินดู ในการเสริมส่งให้บ้านเมืองมั่นคงแข็งแรง ปัจจุบันแม้ไม่มีพิธีโล้ชิงช้าแล้ว แต่เสาสูงสีดินแดงก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ และจุดสำคัญที่ได้รับการบันทึกภาพมากที่สุดบนเกาะรัตนโกสินทร์
จากนั้นปั่นผ่านลานคนเมืองหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานครซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ลัดเลาะไปตามตรอกซอยเพื่อหลีกหนีความจอแจของรถยนต์ พร้อมสำรวจภาพชีวิตในชุมชนดั้งเดิมที่ก่อร่างกันมาตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ ระหว่างทางอาศัยสบตาและส่งเสียงทักทายผู้คนในชุมชนที่นั่งอยู่หน้าบ้านหรือหน้าร้านค้า ยังได้รอยยิ้มกลับมาเป็นความชื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ร้านขายเครื่องหมายตราราชการ หรือร้านรถเข็นขายอาหาร เรื่อยจนมาถึงถนนเฟื่องนครที่แนวอาคารตึกแถว 2 ชั้นสวยงามอย่างมาก ด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก ผนังฉาบปูนเรียบมีแนวเสาคั่นแต่ละห้อง ประตูบานเฟี้ยมไม้ บานหน้าต่างชั้นสองเป็นบานแฝดไม้แบบลูกฟักกระดานดุน แต่หลายตึกแถวได้ปรับเปลี่ยนเป็นประตูเหล็กและอาคารพาณิชย์ไปแล้ว บางส่วนก็แปลงเป็นร้านรวงร่วมสมัยให้ได้แวะเข้าไปเยี่ยมเยือน เช่น ร้านสวนเงินมีมา ที่ขายทั้งหนังสือ ขนม และเครื่องดื่ม, ร้านซึเมี่ยวคาเฟย ร้านกาแฟสวยเก๋สไตล์จีน ซึ่งเสิร์ฟกาแฟรสชาติดีงาม ชื่อร้านมีความหมายว่า ร้านกาแฟข้างวัด เพราะตั้งอยู่ตรงข้ามประตูทางเข้าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ 5 ซึ่งโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมภายนอกแบบไทยและตกแต่งภายในแบบตะวันตก มีมหาสีมาอันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร 8 เสา ตั้งเป็นสีมาที่กำแพงทั้ง 8 ทิศ ส่วนสวนด้านหลังนอกเขตกำแพงมหาสีมาเป็นที่ตั้งสุสานหลวงของพระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา พระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ซึ่งสำหรับพระอารามหลวงแห่งนี้ แม้ปั่นชมเพียงแค่รอบนอกพระอุโบสถและพระวิหาร แต่ก็สามารถสัมผัสความงามได้ไม่น้อย
จากจุดนี้สองล้อหมุนต่อโดยเลียบตามคลองคูเมืองเดิม ข้ามสะพานช้างโรงสี ผ่านอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกของที่ทำการกระทรวงกลาโหม และศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ไปยังพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไว้ โดยวัดสำคัญแห่งนี้ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นพระอารามหลวงพร้อมกับการสร้างพระบรมมหาราชวังครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ.2325 จึงนับเป็นบุญตาที่ได้มาเยือนและละเลียดชมจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์รายรอบพระระเบียง ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 178 ห้องภาพ เริ่มต้นที่ด้านหน้าพระวิหารยอด แล้วลำดับภาพมาทางขวามือ โดยทั้งหมดเป็นงานจิตรกรรมไทยแบบประเพณีที่มีความวิจิตรบรรจงอย่างยิ่ง
เสร็จแล้วจักรยานออกตัวอีกครั้งสู่เส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาย่านท่าเตียนและวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ซึ่งจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และวัดประจำรัชกาลที่ 1 โดยมีเกร็ดบันทึกว่า รัชกาลที่ 1 และ 3 ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่ ได้ระดมช่างในราชสำนัก ช่างวังหลวง ช่างวังหน้า ช่างพระสงฆ์จากวัดต่างๆ และผู้เชี่ยวชาญงานศิลปกรรมหลายสาขา มาร่วมกันสร้างสรรค์พุทธสถานและสรรพสิ่งที่ประดับอยู่ในพระอารามหลวง ให้เป็นแหล่งรวมสรรพศิลป์สรรพศาสตร์สำหรับคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ จนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อปี พ.ศ.2551 และขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น ให้เป็นมรดกความทรงจำในทะเบียนนานาชาติ เมื่อปี พ.ศ.2554
นอกจากนี้วัดโพธิ์ยังโดดเด่นด้วยความมหัศจรรย์อีกหลายประการ
เช่น มีวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ด้วยขนาดความยาว 46 เมตร
สูง 15 เมตร มีพระเจดีย์มากถึง 99 องค์
และมียักษ์วัดโพธิ์ตั้งเด่นอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป
จากวัดโพธิ์สองล้อปั่นต่อไปยังคลองรอบกรุงเข้าสู่ชุมชนบ้านหม้อ ซึ่งตึกแถวสองฟากถนนบ้านหม้อเป็นตึกแถว 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้องว่าวทรงปั้นหยา และมีปูนปั้นประดับรอบหน้าต่าง ที่ยังคงสภาพและลวดลายศิลปะดั้งเดิมให้เห็นอยู่ ชั้นบนเป็นที่พัก ส่วนชั้นล่างมักใช้ขายของ โดยตลาดบ้านหม้อถือเป็นแหล่งรวมร้านค้าอุปกรณ์เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องประดับเพชรพลอยที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
หลังตะลอนย่านเก่าเป็นที่หนำใจแล้ว ก็หิ้วท้องปั่นจากสี่แยกบ้านหม้อไปออกสี่กั๊กพระยาศรี ยาวไปถึงถนนตะนาว เพื่อลิ้มชิมรสอาหารเจ้าเก่าแสนอร่อยอย่างราดหน้า เย็นตาโฟ ลูกชิ้นหมู บัวลอย และอีกสารพัดในย่านสามแพร่ง
จึงนับเป็นการปั่นพระนคร ตะลอนย่านเก่า ที่เต็มไปด้วยความเพลินใจและอร่อยเด็ดจริงๆ ใครที่ชีวิตผูกติดกับความเร่งรีบตลอดเวลา ลองมาสัมผัสกับความเนิบช้าด้วยการปั่นจักรยานดู
แล้วจะรู้ว่า
ความรื่นรมย์บนหลังอานนั้นชวนให้ดื่มด่ำแค่ไหน...
·
ข้อมูลอ้างอิง : www.wikipedia.org
·
รูปภาพอ้างอิง: พระแก้วมรกต วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, www.facebook.com/profile.php?id=100057417700307

