การวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์ จากวรรณกรรมสู่การเคลื่อนไหวบนจอ

26 พฤษภาคม 2023
|
7210 อ่านข่าวนี้
|
23


 

ภาพยนตร์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่เกิดจากกระบวนการบันทึกภาพด้วยฟิล์ม แล้วออกฉายเป็นภาพเคลื่อนไหว ตามเรื่องราวที่ถ่ายทำและตัดต่อมา อาจเป็นเรื่องราวจากเหตุการณ์จริง แสดงให้เหมือนจริง หรือแสดงและสร้างภาพตามจินตนาการของผู้สร้างก็ได้ โดยภาพยนตร์ที่ถือเป็นต้นแบบของโลกเกิดขึ้นจากการประดิษฐ์ของโทมัส แอลวา เอดิสัน และผู้ร่วมงาน ส่วนการจัดฉายภาพยนตร์ครั้งแรกในสถานที่สาธารณะเกิดขึ้น ณ ใต้ถุนร้านกาแฟในกรุงปารีส ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป จากนั้นก็แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ ภายใต้วิวัฒนาการจากภาพยนตร์เงียบ สู่ภาพยนตร์ที่ใส่เสียง และเพิ่มสีสันเข้ามา จนในปี พศ.2482 (ค.ศ.1939) ภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind ภาพยนตร์สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จอย่างสูง จึงส่งผลให้ภาพยนตร์ก้าวสู่วงการธุรกิจ และเติบโตเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์เช่นทุกวันนี้


สำหรับประเทศไทย ภาพยนตร์เรียกกันติดปากว่า หนัง เริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และพัฒนาเรื่อยมา โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการการแสดงของคนไทย และเป็นการเดินทางข้ามสื่อจากงานวรรณกรรมหรือตัวหนังสือ สู่การเคลื่อนไหวบนจอ ที่ได้รับความสนใจในเชิงการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างมากด้วย 


ดังนั้น สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) จึงร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทุนศรีบูรพา และเพจ ดวงใจวิจารณ์ จัดกิจกรรมการพัฒนาประชาชนเพื่อสร้างวัฒนธรรมการวิจารณ์ ค่ายบ่มเพาะนักเขียน-นักวิจารณ์ ปี พ.ศ.2566 ขึ้น โดยมีการอบรมการบรรยายเชิงวิชาการเรื่อง การวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์ เป็นหนึ่งในกิจกรรมดังกล่าว พร้อมกับมี อาจารย์ธนพล เชาวน์วานิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร และจรูญพร ปรปักษ์ประลัย นักวิจารณ์วรรณกรรม เป็นผู้ดำเนินรายการ

ในฐานะอาจารย์และนักเขียนบทภาพยนตร์ อาจารย์ธนพล ได้ปูพื้นฐานของการวิเคราะห์ภาพยนตร์ว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มทฤษฎี ได้แก่ กลุ่มทฤษฎีตัวบท หรือการวิเคราะห์ตัวบท, กลุ่มทฤษฎีบริบท หรือการวิเคราะห์บริบท และกลุ่มทฤษฎีผู้รับสาร หรือการวิเคราะห์ผู้รับสาร โดยการอบรมการบรรยายเชิงวิชาการครั้งนี้จะเน้น การวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์ ตามหัวเรื่อง

ทั้งนี้ ในการวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์ จะเป็นการวิเคราะห์ที่ให้ความสนใจกับเนื้อหาและรูปแบบภายในภาพยนตร์เป็นสำคัญ รวมถึงมองภาพยนตร์ในฐานะของงานดัดแปลงศึกษาด้วย เนื่องจากภาพยนตร์ยุคแรกๆ ผู้สร้างส่วนใหญ่มักดัดแปลงภาพยนตร์มาจากวรรณกรรมคลาสสิก ผลสะท้อนที่เกิดขึ้นตามมาคือ คนสามารถเข้าถึงวรรณกรรมคลาสสิกได้มากขึ้น เพราะเดิมคนจะเข้าถึงวรรณกรรมคลาสสิกได้นั้น ต้องเป็นคนที่มีความรู้เรื่องภาษาและขนบของวรรณกรรม แต่เมื่อมีภาพยนตร์ แค่ซื้อตั๋วเข้าไปชม คนก็สามารถเข้าถึงวรรณกรรมเหล่านั้นได้แล้ว

ภาพยนตร์จึงเปรียบเสมือนพาหนะพาวรรณกรรม ไปสู่การเคลื่อนไหวบนจอ ให้เป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้างได้

ส่วนการเกิดขึ้นของภาพยนตร์นั้น แบ่งได้เป็น 3 มิติ ดังนี้

1.      มิติที่เกิดจากจินตนาการของผู้สร้างหรือคนทำภาพยนตร์ 


2.      มิติที่เกิดจากเทคโนโลยี อันเริ่มต้นจากกล้อง เทคโนโลยีในการบันทึกภาพ จนพัฒนามาสู่การใส่แสง สี เสียง และระบบดิจิทัลต่างๆ

3.      มิติที่เกิดจากการตลาดหรือพาณิชย์ เนื่องจากเมื่อภาพยนตร์ถูกทำให้เป็นวัฒนธรรมประชานิยม ภาพยนตร์ก็กลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่จะสร้างกำไรให้กับผู้สร้างได้

สำหรับในแง่ของบทบาทหน้าที่ ภาพยนตร์มีหน้าที่หลักๆ  4 อย่าง คือ

1.      หน้าที่ในการเล่าเรื่อง ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกอยากติดตาม

2.      หน้าที่ในการสื่ออารมณ์ โดยทำให้ผู้ชมรู้สึกโกรธ กลัว หัวเราะ หรือร้องไห้ไปกับตัวละคร

3.      หน้าที่ในการสื่อสารความคิดจากผู้สร้างไปยังผู้ชม

4.      หน้าที่ในการสร้างความติดตาติดใจให้กับผู้ชม

โดยทั้ง 4 หน้าที่นี้ จะแตกต่างจากหน้าที่ของวรรณกรรมหรือตัวหนังสือ เนื่องจากเป็นการสื่อสารด้วยภาพ และมี

เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การถ่ายภาพ การกำหนดภาพ การตัดต่อภาพ การจัดฉาก หรือการใช้ดนตรีประกอบ

          ในขณะเดียวกัน หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์ ยังอยู่ที่การตีความและการประเมินคุณค่า ซึ่งการตีความ จะหมายถึงการที่ผู้ชมชมแล้วสกัดออกมาได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงอะไร อะไรคือแก่นที่ผู้สร้างต้องการสื่อหรือตีความ และตีความออกมาด้วยภาพแบบไหน องค์ประกอบอย่างไร บุคลิกของตัวละครมีเหตุผลอะไรในกระทำ ส่วนการประเมินคุณค่า เป็นเรื่องของความชอบไม่ชอบ หรือรสนิยมของผู้ชมในการที่จะบอกว่า ดี หรือไม่ดี มีคุณค่าอย่างไร การเล่าเรื่องช้าหรือเร็ว โดยการประเมินนี้อาจขาดองค์ความรู้หรือความเข้าใจในการเข้าถึงผู้สร้างหรือผู้กำกับก็ได้

          จากนั้น ก่อนจะนำเข้าสู่การวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์โดยเฉพาะ อาจารย์ธนพลได้กล่าวถึงสิ่งที่นำมาเชื่อมโยงเพื่อการวิเคราะห์ภาพยนตร์ ที่เรียกว่า ภาษาหรือไวยากรณ์ของภาพยนตร์ ไว้ดังนี้

1.      ขนาดของภาพ หรือระยะของกล้องกับสิ่งที่ถ่าย จะสร้างความรู้สึกแตกต่างกัน เช่น ขนาดภาพใหญ่ ที่กล้องเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ ผู้ชม จะทำให้รู้สึกอึดอัด หรือภาพระยะไกล เป็นท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำ จะสร้างความรู้สึกสวยงาม สบายตา

2.      มุมกล้อง หมายถึงเวลาถ่ายทำ มีการปรับมุมกล้องเป็นมุมสูง มุมต่ำ มุมกว้าง ที่จะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อผู้ชม

3.      การเคลื่อนกล้อง เป็นการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกล้องในขณะที่บันทึกภาพ เพื่อสื่อความหมายกับผู้ชม เช่น การซูม หรือการเคลื่อนกล้องไปซ้ายหรือขวาแทนสายตาของตัวละคร ว่ากำลังเข้าใกล้หรือมองหาบางสิ่งบางอย่าง

4.      แสง เป็นสิ่งที่จะสร้างบรรยากาศหรือกำหนดมู้ดแอนด์โทน เช่น ภาพยนตร์สยองขวัญ แสงมืดๆ จะทำให้รู้สึกน่ากลัว

5.      สี เป็นสิ่งที่ภาพยนตร์นำมาใช้สื่อความหมายหรือสร้างความรู้สึกได้อย่างหลากหลาย เช่น สีแดงสื่อถึงความรู้สึกหลงใหล สีชมพูสื่อถึงความรู้สึกอ่อนโยน หรือสีม่วงสื่อถึงความรู้สึกเร้นลับ  

6.      เสียง เป็นสิ่งที่กระตุ้นหรือเร้าให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกต่างๆ ได้เช่นเดียวกับแสงและสี

7.      การตัดต่อ เป็นการเปลี่ยนภาพและเสียงจากช็อตหนึ่งไปยังอีกช็อตหนึ่ง เพื่อให้เกิดการรับรู้เรื่องราวและอารมณ์ของภาพยนตร์

8.      การจัดฉาก เป็นการนำองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์มารวมกันอยู่หน้ากล้อง โดยแต่ละส่วนจะมี

ความสัมพันธ์กันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อปลุกให้ผู้ชมรับรู้ถึงสิ่งที่ผู้สร้างต้องการสื่อ เช่น การจัดฉากโดยวางภาพตัวละครอยู่ตรงกลาง แล้วมีเส้นตีกรอบ ทำให้รู้สึกเหมือนตัวละครกำลังตกอยู่ในวงล้อมบางอย่าง เป็นต้น 

ทั้งนี้ ภาษาหรือไวยากรณ์ของภาพยนตร์ดังกล่าว จะถูกผสมผสานออกมาเพื่อสื่อสารกับผู้ชม และนักวิจารณ์สามารถ

นำไปใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างมีหลักการ

          สุดท้าย เข้าสู่สาระสำคัญในการวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์ จะประกอบด้วยการวิเคราะห์จาก 7 องค์ประอบ อันได้แก่

1.      โครงเรื่องหรือพล็อตของเรื่อง หมายถึงการเล่าเหตุการณ์ในเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ

2.      แก่นของเรื่อง เป็นความคิดรวบยอด ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของภาพยนตร์  

3.      ความขัดแย้ง เป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ที่จะทำให้การเล่าเรื่องมีความตื่นเต้น 

4.      ตัวละครต่างๆ ตั้งแต่ตัวละครหลัก ตัวละครรอง ตัวละครขัดขวาง และตัวละครอื่นๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องราว

5.      ฉากและบรรยากาศ เป็นองค์ประกอบที่จะส่งผลกับเรื่องราวในภาพยนตร์ เนื่องจากเรื่องราวต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากฉากมารองรับเรื่องราวเหล่านั้น

6.      มุมมองในการเล่าเรื่อง หมายถึงการมองเหตุการณ์ การเข้าใจพฤติกรรมของตัวละคร หรือการที่ผู้เล่ามองเหตุการณ์จากวงในหรือวงนอกก็ได้ ซึ่งทำให้มีผลต่อความรู้สึกของผู้ชม

7.      บทสนทนา เป็นถ้อยคำที่กำหนดให้ตัวละครต่างๆ ใช้โต้ตอบกัน เพื่อแสดงถึงอารมณ์และการดำเนินเรื่อง แต่บางครั้งภาพยนตร์อาจไม่มีบทสนทนาก็ได้ 


โดยจากองค์ประกอบทั้งหมดข้างต้น ถือเป็นตัวบทที่นักวิจารณ์หรือคนที่สนใจทำงานวิจารณ์ภาพยนตร์จำเป็นต้องรู้จักสังเกตแล้วนำมาวิเคราะห์ ซึ่งในการวิเคราะห์อาจจะมีการตีความเกินกว่าคนเขียนบทคิดไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือมีน้ำหนักด้วย จุดนี้ก็จะช่วยสร้างวัฒนธรรมของการวิจารณ์เชิงบวก อันต่อยอดไปสู่องค์ความรู้หรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ

          ส่วนคนดูหรือผู้ชม การสังเกตองค์ประกอบของตัวบทภาพยนตร์ ก็มีประโยชน์ในแง่ที่ทำให้การดูหรือชมนั้นมีความสนุกสนานมากขึ้น และอาจจุดประกายให้เป็นนักวิจารณ์ที่มีอนาคตในวันข้างหน้าก็ได้

          อย่างไรก็ตาม การอบรมการบรรยายเชิงวิชาการเรื่อง การวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์ เป็นเพียงการสรุปเนื้อหาคร่าวๆ เท่านั้น หากต้องการรับฟังรายละเอียดที่มากกว่านี้ ติดตามได้ที่ Youtube duangjaivijarn    

         

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI