จะเกิดอะไรกับคนอเมริกัน เมื่อคนหนุ่มสาวเรียนมหาวิทยาลัยน้อยลง
นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ชาวอเมริกันที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมีจำนวนลดลง 1 ล้านคนขณะที่นักวิจัยประเมินว่ายอดรวมอาจสูงถึง 3 ล้านคนตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับคนอเมริกัน ทำไมพวกเขาไม่อยากเรียนหนังสือ?
ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาในสหรัฐฯ พูดถึงสาเหตุที่ทำให้อัตราดังกล่าวมีจำนวนลดลงว่ามาจากหลากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะกันพอดี ทั้งเรื่องอัตราการเกิดที่ต่ำลง อัตราค่าจ้างของงานส่วนใหญ่ที่สูงขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ ตลอดจนค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยที่สูงขึ้น และการเป็นหนี้ในการต้องกู้เรียนหนังสือ เพราะกว่า 80% ของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ทุกคนแทบจะต้องกู้เงินเพื่อมาเรียนหนังสือทั้งสิ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและนักเศรษฐศาสตร์เริ่มคิดถึงผลกระทบในระยะยาวหากการลดลงนี้ยังคงดำเนินต่อไป และบางคนเตือนว่าเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ เพราะเมื่อมีคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยน้อยลง สังคมก็จะแย่ลงไปด้วย นอกจากนี้การประสบความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจก็จะลดน้อยลง และหาบุคลากรมาเติมเต็มตำแหน่งงานต่างๆ ในอนาคตได้ยากขึ้นอีกด้วย ในขณะที่หากมองไปที่จีน ที่นั่นมีนักเรียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทุกปี
อะเดรียน่า
เลรัส มูนีย์ (Adriana Lleras-Muney) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California-Los Angeles) ได้เห็นความเห็นไว้ในเดอะวอชิงตัน โพสต์ เรื่องการลดลงของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยไว้ว่า
เมื่อช่องว่างทางการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้ความแตกแยกทางการเมือง
สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม
เชื้อชาติและชาติกำเนิดที่มีมาดอยู่แล้ว
แย่ลงไปกว่าเดิม และแนวโน้มความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติที่กำลังลดลงก็จะกลับมาดีดตัวขึ้นตามไปด้วย
นักวิจัยจากศูนย์วิจัย
National Student Clearinghouse Research Center กล่าวว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือเด็กๆ
จากครอบครัวที่ยากจน นอกจากนี้ จำนวนเด็กหนุ่มที่เข้ามหาวิทยาลัยก็ลดลงร้อยละ
10 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
องค์กรคอลเลจบอร์ด (The College Board) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
ที่ทำงานเกี่ยวกับการเข้าเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัย
กล่าวว่าผู้ที่จบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจะมีรายได้น้อยกว่าผู้ที่จบมหาวิทยาลัยราวปีละ
25,000 ดอลลาร์
ขณะที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐและศูนย์วิจัย Pew ชี้ว่า ผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีมีความเสี่ยงที่จะต้องใช้ชีวิตแบบยากจนหรือกลายเป็นคนตกงาน
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะจ่ายภาษีน้อยลง
ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล
มีชีวิตที่ย่ำแย่และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
ยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น
งานดีๆ ที่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะยังคงว่างอยู่
ตัวเลขการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ลดลงในช่วงการระบาดใหญ่นั้นเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ
ซึ่งหากมองในภาพใหญ่ของตลาดแรงงาน
จะพบว่า ณ ปัจจุบัน บุคลากรในธุรกิจสุขภาพ
เช่น พนักงานในโรงพยาบาล ก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว
โดยเฉพาะหมอมีปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน
หลายวิทยาลัยหรือหลายคณะต้องปิดบางภาควิชาลงเพราะมีนักศึกษาไม่เพียงพอที่จะเปิด
สิ่งที่น่าคิดต่อไปก็คือแม้จะมีชาวอเมริกันจำนวนน้อยลงที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
แต่ประเทศต่าง
ๆ
อย่างเช่น
จีน
แคนาดา
เกาหลี
และรัสเซีย
กลับลงทุนในด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษากันมากขึ้น
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
กล่าวว่าขณะนี้สหรัฐฯ
จัดอยู่ในอันดับที่ 12 ของการมีอัตราประชากรจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีในบรรดาประเทศสมาชิก
38 ประเทศ
แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ
20
ปีที่แล้ว สหรัฐฯ อยู่ที่อันดับที่ 3 นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวเลขนั้นลดลงอย่างต่อเนื่องและน่าเป็นห่วง
ปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านี้
หากมองออกไปในปัญหาระดับโลก
การศึกษา ถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว
แต่สงครามจิตวิทยาและการเริ่มระแวงระหว่างกัน
ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา
กำลังส่งผลมาถึงเรื่องของธุรกิจการศึกษาด้วยเช่นกัน
ปฎิเสธไม่ได้ว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งประชากรของตัวเอง
ไปเรียนในสหรัฐอเมริกาและที่ต่างๆ
ของโลก มากที่สุด พูดได้ว่านักศึกษาชาวจีน
คือผู้ค้ำชูธุรกิจการศึกษาของสหรัฐอเมริกาไว้ส่วนหนึ่งก็ไม่น่าจะผิดนัก
จีนกับการยึดโลกแห่งการศึกษา
ข้อมูลจาก World Education Services ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2000 ประเทศจีนมีจำนวนนักศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 7.4 ล้านคนเป็นเกือบ 45 ล้านคน ในปี 2018 และคาดการณ์กันว่าภายในปี 2025 จีนจะผลิตนักศึกษาที่มีปริญญาขั้นสูงในสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ มากกว่าสหรัฐฯ เกือบสองเท่า ย้อนกลับไปช่วงปี 2002–2007 จำนวนนักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่ที่ราว 100,000 คนต่อปี แต่หลังจากการเปิดตัวและเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ หลังการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2008 การไปศึกษาต่อยังต่างประเทศของนักศึกษาจีนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการไปเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลจาก China Daily ระบุว่าจำนวนนักศึกษาจีนทั้งหมดที่เรียนในอเมริกาช่วงปีการศึกษา 2019-2020 ยังคงครองสัดส่วนใหญ่ในอเมริกาคือมีทั้งสิ้นราว 3.7 แสนคน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา แม้จะมีการชะลอตัวไปบ้าง เนื่องจากปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกาและความขัดแย้งทางการเมือง แต่นักศึกษาชาวจีนก็ยังให้ความสนใจไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา
แต่กระนั้นการออกมาประกาศของนโยบายของสหรัฐ
เกี่ยวกับการห้ามนักศึกษาจีน
ศึกษาต่อในบางมหาวิทยาลัยและบางสาขาที่สหรัฐอเมริกามองว่าล่อแหลมต่อการรั่วไหลขององค์ความรู้ที่สำคัญ
เช่น ในหมวด STEM (คำย่อของการเรียนใน 4 สาขาได้แก่วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics)) ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัล
ทรัมฟ์ มีการคุมเข้มเรื่องของนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนมากขึ้น
รวมถึงนโยบายที่มีต่อผู้อพยพ
ทำให้สิทธิในการทำงานหลังเรียนจบไม่ได้ง่ายเช่นในสมัยของประธานาธิบดีบารัค
โอบาม่าที่ให้สิทธิในการทำงานหลังเรียนจบนานถึง
3 ปี
ปี
2020 อเมริกาประกาศแบนและยกเลิกวีซ่านักศึกษาแก่นักศึกษาจีน 2 ครั้งเนื่องจากความขัดแย้งทางการค้า
โดยสหรัฐอเมริกาให้เหตุผลว่านักศึกษาจีนเหล่านี้
มีความเกี่ยวข้องกับทางการทหารจีน
และขโมยข้อมูลสำคัญของทางอเมริกาไปให้แก่ทางจีน
ยิ่งทำให้ทัศนคติของนักศึกษาจีนต่อสหรัฐอเมริกาเริ่มแย่ลง
และคาดว่ามีนักศึกษาจีนได้รับผลกระทบอย่างน้อย
3,000–5,000 คน
โดยรับบาลสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบนักศึกษาและนักวิจัยจากจีนที่จะเข้ามาเรียนต่อในสหรัฐอเมริกามากขึ้น
พฤษภาคมที่ผ่านมาสื่อโกลบอล
ไทม์ (Global Times) เผยแพร่รายงานข้อมูลจาก Gewai Education บริษัทแนะแนวศึกษาต่ออเมริกา
เปิดเผยข้อมูลการขอวีซ่าอเมริกาของนักเรียนจีนจำนวนหนึ่งว่าโดนปฏิเสธเนื่องจากนักศึกษาดังกล่าวมีสมาชิกในครอบครัวทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ในหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศจีน
ตั้งแต่ช่วงสงครามการค้าจีนอเมริกาในปี 2019 จนถึงปัจจุบันสหรัฐอเมริกาประกาศแบนการทำงานทางวิชาการร่วมกันกับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยในจีนทั้งหมด 6 แห่งซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยีและวิศวกรรม ประเทศพันธมิตรของอเมริกาบางประเทศ มีการดำเนินนโยบายคล้ายๆ กันนี้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น ตามการรายงานข่าวของ The Straits Times แคนาดาก็เคยมีการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยแคนาดา ระมัดระวังการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจีน เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลไปถึงรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการทหารจีน
แน่นอนว่าจีนไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนของตนโดนแบนและถูกตราหน้า จึงพยายามตอบโต้นโยบายเข้มงวดแก่นักศึกษาจีนของอเมริกามาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2019 รัฐบาลจีนออกประกาศเตือนประชาชนถึงการไปเรียนต่อและเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ระมัดระวังในเรื่องของการขอวีซ่าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ให้ระยะเวลาอยู่ในอเมริกาลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะส่งผลโดยตรงต่อนักศึกษาจีนที่ต้องการไปเรียนต่อที่อเมริกาและประเทศจีนเองเพิ่มความเข้มงวดและข้อจำกัดในการขอวีซ่าแก่ชาวอเมริกาเช่นกัน
อนาคตเราอาจได้เห็นนักศึกษาจีนไปเรียนยังอเมริกาหรือต่างประเทศลดน้อยลง ไม่ใช่เพียงจากเหตุผลทางการเมืองแต่ยังยังมีเหตุผลเรื่องชาตินิยมที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องและจีนเองกำลังพยายามดำเนินนโยบายดึงดูดคนจีนเก่งๆ ให้กลับมาประเทศจีน
ส่วนสหรัฐอเมริกาก็หวังว่าการยกหนี้มูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญให้กับนักศึกษา ในระยะสั้นอาจเป็นแรงดึงดูดให้คนรุ่นใหม่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษามากขึ้น ทว่าในระยะยาว ก็ต้องดูกันยาวๆ ว่า สหรัฐอเมริกา จะทำอย่างไรกับปัญหาที่คนเรียนมหาวิทยาลัยน้อยลง
อ้างอิง
https://www.scmp.com/news/china/society/article/2179977/chinese-students-miss-out-early-places-mit-whats-blame-change
https://www.studentclearinghouse.org/nscblog/undergraduate-enrollment-falls-662000-students-in-spring-2022-and-1-4-million-during-the-pandemic/
https://www.washingtonpost.com/education/2022/01/22/college-enrollment-drop/
https://www.wes.org/advisor-blog/how-chinese-credentials-are-evaluated/

