เพราะรักจึงโยกย้าย สัมพันธ์รักข้ามพรมแดน กับความมากมายที่รัฐต้องการข้อพิสูจน์
แม้โลกเราจะเชื่อมต่ออย่างไร้พรมแดนมาแล้วแสนนาน แต่บางความสัมพันธ์ระหว่างพรมแดน กลับยังมีอีกบางรอยต่อที่ไม่อาจเชื่อมได้สนิท หากไม่นับเรื่องความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม พื้นเพการเติบโต นิสัยใจคอที่แตกต่างกัน ที่ทำให้ยากต่อการใช้ชีวิตในประเทศใหม่ หรือแม้กระทั่งยากต่อการปรับตัวเข้าหากันให้ได้ ยังมีอีกเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง ซึ่งกลายเป็นปัญหาระหว่างความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจากตัวตนหรือเรื่องรายล้อมของคู่รัก หากแต่หมายถึง กฎเกณฑ์ของรัฐที่เข้ามาควบคุม และทำให้รักข้ามขอบฟ้าเป็นเรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด
ในบทสนทนาของกลุ่มคนไทยที่มีคู่รักหรือคู่ชีวิตเป็นชาวต่างชาติ มักพูดคุยกันบ่อยครั้งถึงเรื่องวีซ่า และการย้ายถิ่นฐานตามคนรักไปยังประเทศที่เป็นภูมิลำเนาอื่น ซึ่งยุ่งยากอยู่ไม่น้อย และนั่นก็เป็นที่มาของรายงานวิจัย ‘ความรักและความสัมพันธ์ใกล้ชิดในกระบวนการย้ายถิ่นเพื่อการแต่งงาน: ประสบการณ์ของหญิงไทย’ ของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ผศ.ดร.วิลาสินี พนานครทรัพย์ ที่พาตัวเองเข้าไปตั้งคำถามกับหญิงไทยที่ย้ายถิ่นไปยังประเทศออสเตรเลีย 15 คน
การศึกษาครั้งนี้พบว่า สถานการณ์ที่พวกเธอเหล่านั้นต้องเผชิญในแต่ละขั้นตอนของการย้ายถิ่นเพื่อการแต่งงาน เป็นเรื่องเหลื่อมซ้อนอยู่บนเส้นแบ่งของความรักแท้อยู่ไม่น้อย
เริ่มต้นด้วยความรัก แต่แค่รักอาจยังไม่พอ หากจะลงหลักปักฐาน
ไม่มีใครรู้หรอกว่า ศรแห่งรักจะปักลงที่กลางใจของใครคนไหนและเมื่อไร แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ความรักสร้างพลังและแรงปรารถนาให้คนสองคนอยากใช้ชีวิตร่วมกันเสมอ เอกลักษณ์และความพิเศษของคนรักในเรื่องเล่าของผู้หญิงที่ก่อสัมพันธ์ข้ามพรมแดน มักถูกเชื่อมโยงเข้ากับความเชื่อในพรหมลิขิตหรือการเป็นเนื้อคู่ในสังคมไทย ที่ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ไกลถึงแห่งหนไหน พรหมลิขิตจะชักพาให้มาเจอกัน และก็เป็นเพราะรักนั่นแหละ ที่ทำให้พวกเธอต้องการโยกย้าย
แม้จะมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหญิงสาวและคู่รักเข้ากับอุดมการณ์ของรักร่วมสมัย ทั้งในแง่ของความเป็นคนพิเศษของคนรักที่แตกต่างไปจากคู่รักอื่นๆ ในสังคม และความเป็นธรรมชาติของความรักที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญของการพบเจอ เพื่อให้เรื่องราวการย้ายถิ่นฐานข้ามพรมแดนของพวกเธอถูกตั้งคำถามน้อยลง แต่ก็ยังมีแง่มุมที่ซ้อนอยู่ว่า การย้ายถิ่นของเธอเหล่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องระหว่างเธอกับคู่รักเพียงอย่างเดียว ยังมีส่วนอื่นที่มีผลสำคัญต่อแรงจูงใจและความต้องการย้ายถิ่น ซึ่งวางอยู่บนจินตนาการภาพเหมารวม ที่เห็นว่า ชายต่างชาติ ซึ่งในที่นี้หมายถึงชนฝรั่ง มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวสูง
ด้วยการมองภาพเช่นนี้เป็นภาพหลักก่อนจะเข้าสู่กระบวนการย้ายถิ่น จึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกให้เห็นว่า การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมนั้น วางอยู่บนฐานของความรักแท้จริง หรือวางอยู่บนผลประโยชน์บางอย่างที่อาจได้มาจากการย้ายถิ่นข้ามพรมแดน หรือกล่าวได้ว่า แม้ว่าความรักของเธอเหล่านี้จะอธิบายความรักและความสัมพันธ์ในมุมมองของความรัก และความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกัน แต่เรื่องเล่าของความรักนี้ก็ไม่อาจแยกออกไปจากเศรษฐกิจ ทุน และอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศต้นทางและปลายทาง เราจึงมักพบเห็นการอธิบายความรักข้ามพรมแดนของผู้หญิง ที่คาบเกี่ยวไปกับความหมายของการมีชีวิตที่ดีขึ้นของตนเอง และการตกเป็นหนี้บุญคุณคนรัก
เส้นแบ่งระหว่างความรักแท้ (true love) และความเป็นเครื่องมือ (instrumentality) ของการย้ายถิ่น ที่เกิดขึ้นในบริบทของความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนจึงมีความพร่าเลือน และยากจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
แม้รักแท้ไม่แพ้ระยะทาง แต่วัตถุธรรมที่รัฐต้องการ ก็อาจทำให้ทดท้อ
เมื่อความรักเคลื่อนเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่มีพันธะผูกพันและจริงจัง การโยกย้ายเพื่ออยู่ร่วมกันจึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ในรูปแบบสามีภรรยา บางคู่รักตัดสินใจเลือกใช้วิธีการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสเพื่อเข้าสู่กระบวนการยื่นขอวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครอง
แม้ว่าการขอวีซ่าเพื่อย้ายถิ่นฐานของคู่ครองไปยังประเทศออสเตรเลีย จะสามารถยื่นขอได้สองรูปแบบ คือผ่านการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับพลเมืองหรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยถาวรในออสเตรเลียขณะยื่นของวีซ่า และการยื่นขอวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครองผ่านการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากผู้สมัครขอวีซ่าได้อาศัยอยู่ร่วมกันกับคู่รักชาวออสเตรเลียไม่ต่ำกว่า 12 เดือนก่อนการยื่นขอวีซ่า
แต่อะไรล่ะที่จะเป็นหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์?
ในบางคนที่ย้ายถิ่นเพื่อไปเรียนและทำงานในออสเตรเลียอยู่แล้ว และได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกับคู่รักก่อนจะสมัครวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครอง การขอวีซ่าในกรณีนี้อาจทำได้ไม่ยากนักในการแสดงหลักฐานของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่ในคู่รักที่มีข้อจำกัดของความสัมพันธ์ทางไกลและไม่ได้อยู่ร่วมกัน ยังไม่ได้ผ่านการแต่งงานและจดทะเบียนสมรส พวกเขาต้องแสดงหลักฐานการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างน้อย 12 เดือน (ข้อกำหนดและหลักฐานที่ใช้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ) หรือแม้กระทั่งคู่รักจะจดทะเบียนแต่งงานอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาแล้ว การพิสูจน์ให้รัฐปลายทางเห็นว่าสัมพันธ์นั้นวางอยู่บนความสัมพันธ์ที่แท้จริง ก็ยังต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน
ความสัมพันธ์ที่แท้จริงในหลักการของรัฐปลายทางอย่างออสเตรเลีย วางการประเมินแง่มุมความสัมพันธ์เอาไว้ 4 ด้านหลักคือ การเงิน ธรรมชาติของครัวเรือน มิติทางสังคม และพันธะผูกพันที่มีต่อกัน โดยการประเมินความสัมพันธ์และอนุมัติวีซ่าจะขึ้นอยู่กับหลักฐานทั้งหมดที่ผู้สมัครยื่นเข้ามาเป็นหลัก
หน้าที่ของผู้สมัครยื่นขอวีซ่าเพื่อฝ่าด่านกฎเกณฑ์แห่งรัฐ คือการรวบรวมข้อมูลเอกสาร และหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมานำเสนอ ซึ่งก็มีตั้งแต่การเขียนจดหมายแนะนำความสัมพันธ์ เล่าถึงเรื่องราวของการนัดพบกันครั้งแรก การพัฒนาความสัมพันธ์ เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และการวางแผนในอนาคตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา
ในขณะเดียวกัน ผู้สมัครก็จะต้องส่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ตนเองมีความสัมพันธ์กับผู้สนับสนุนหรือคู่ครองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีหลักฐานการยืนยันความสัมพันธ์จากพลเมืองหรือผู้มีถิ่นฐานถาวรในออสเตรเลียอย่างน้อย 2 คน ซึ่งหากแสดงหลักฐานเหล่านี้ไม่ครบ หรือไม่สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ประเมินเชื่อได้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง ระยะยาว และต่อเนื่อง ผู้สมัครก็อาจถูกปฏิเสธวีซ่าการย้ายถิ่นของคู่ครองได้
หรือในบางกรณี สิ่งที่เจ้าหน้าที่ระบุให้หามาแสดง คือหลักฐานในการจัดการความเป็นอยู่ร่วมกัน หรือธรรมชาติของครัวเรือน เช่น จดหมายของผู้ให้เช่าบ้านที่รับรองการอาศัยอยู่ร่วมกันของสามีภรรยา และรับผิดชอบค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆ ร่วมกัน ไปจนถึงการเปิดบัญชีธนาคารร่วมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีทะเบียนสมรสมายืนยัน วัตถุธรรมที่นำมายื่นแสดงเป็นหลักฐานนั้นก็ยังไม่เพียงพอ
ความน่าสนใจประการหนึ่งที่ปรากฏผ่านเรื่องเล่าเหล่านี้คือ รัฐปลายทางจะตั้งคำถามถึงแรงจูงใจต่อการย้ายถิ่นของผู้หญิงที่มาจากประเทศต้นทาง ที่มีความด้อยกว่าในเชิงเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างชัดเจน และเธอเหล่านี้ก็ต้องพิสูจน์และแสดงหลักฐานให้รัฐเห็นว่า ความต้องการย้ายถิ่นนั้นเกิดจากความต้องการที่จะอยู่กับคนรักอย่างแท้จริง โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดแอบแฝง แต่การพิสูจน์ความจริงแท้ของความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนต่อรัฐปลายทางนั้น ไม่ได้มุ่งไปที่ความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์เลย หากแต่รัฐจะมุ่งเน้นไปที่วัตถุธรรมของความรักผ่านการแสดงหลักฐานเพื่อให้เห็นพันธะผูกพันในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะการมุ่งเน้นไปที่หลักฐานการพึ่งพิงทางการเงินระหว่างเธอและคนรัก
ซึ่งข้อนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ความหมายของความรักที่แท้จริงของรัฐนั้นก็มีความพร่าเลือน และยากที่จะแยกนิยามของความรักออกจากประเด็นทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในสัมพันธ์รักข้ามพรมแดนได้
จากชั่วคราวสู่ถาวร ชีวิตคู่ข้ามพรมแดนที่ต้องยืนยัน
ด้วยกระบวนการพิสูจน์ที่แข็งขัน กว่าจะได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครองก็อาจทำให้ความรักที่ฟุ้งฝันถูกลดทอนความโรแมนติกไปบ้าง แต่หากผลลัพธ์ปลายทางคือการได้อยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็เป็นความหอมหวานอยู่
ในขั้นต้นเมื่อผ่านการพิจารณา ผู้ย้ายถิ่นจะได้รับวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครองแบบชั่วคราวมาถือไว้ก่อน หากความสัมพันธ์ยังคงดำเนินต่อเนื่องไปถึง 2 ปี นับจากวันที่ยื่นขอสมัครวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครองแบบชั่วคราว ก็จะสามารถยื่นขอวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นของคู่ครองแบบถาวรได้ แต่นั่นยังไม่ถือได้ว่าเธอได้เป็นพลเมืองของออสเตรเลีย
โดยทั่วไป วีซ่าการย้ายถิ่นของคู่ครองแบบชั่วคราวจะมีอายุ 5 ปีในการออกให้ครั้งแรก เมื่อวีซ่าหมดอายุลง ผู้ถือวีซ่ายังสามารถอาศัยอยู่ในออสเตรเลียได้อย่างไม่มีกำหนด และหากต้องการยื่นขอวีซ่าการย้ายถิ่นของคู่ครองแบบถาวร ผู้ย้ายถิ่นก็ยังต้องมีหลักฐานมาแสดงให้รัฐเห็น คือการมีความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องหลังจากการย้ายถิ่น ผู้สมัครและคู่ครองในฐานะผู้สนับสนุนวีซ่าจะต้อง ‘อยู่กินกันฉันสามีภรรยา’ ในบ้านหลังเดียวกัน และมีการจัดการความเป็นอยู่ภายในบ้านร่วมกัน ซึ่งการมีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร จะผูกโยงไปกับสิทธิที่ผู้ย้ายถิ่นจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐด้วย
รายงานที่ว่าด้วยความรักและความสัมพันธ์ในการย้ายถิ่นเพื่อการแต่งงานของหญิงไทยชิ้นนี้ เนื้อความในฉบับเต็มได้สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และความรักของผู้หญิงที่เคลื่อนและผันแปรไปตามประสบการณ์และสถานการณ์ ที่เธอต้องเผชิญในแต่ละขั้นตอนของการย้ายถิ่นเพื่อการแต่งงาน ขณะเดียวกันในบทความฉบับรวบรัดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า แม้การย้ายถิ่นของพวกเธอจะอยู่บนฐานของความรักโรแมนติกและความใกล้ชิดเชิงกายภาพ แต่เมื่อต้องนำเสนอความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนต่อรัฐ มิติความสัมพันธ์ที่แสดงถึงพันธะผูกพันและการดูแล ก็ได้ถูกนำมาใช้ในฐานะกลยุทธ์ของการนำเสนอความรักที่แท้จริง
และนิยามของความรักและความสัมพันธ์ใกล้ชิดในความสัมพันธ์ข้ามพรมแดน ก็มีความซับซ้อนหลากหลายมิติ ยากที่จะแยกออกจากความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างระหว่างประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง ซึ่งทั้งผู้หญิงที่ย้ายถิ่นฐานและรัฐเองต่างก็มีส่วนทำให้เส้นแบ่งระหว่างนิยามของ ‘ความสัมพันธ์ที่แท้จริง’ และ ‘ความสัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์แอบแฝง’ ในการย้ายถิ่นเพื่อการแต่งงานมีความพร่าเลือนมากขึ้น
อ้างอิง:
● รายงานวิจัย ‘ความรักและความสัมพันธ์ใกล้ชิดในกระบวนการย้ายถิ่นเพื่อการแต่งงาน: ประสบการณ์ของหญิงไทย’ ของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ผศ.ดร.วิลาสินี พนานครทรัพย์
…….

