รวมศูนย์อำนาจแบบแยกส่วน กับการสร้างปัญหาให้กับ ท่องเที่ยวท้องถิ่น กรณีศึกษา เชียงแสน-เชียงของ
จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีทำเลตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงซึ่งมีความร่วมมือในมิติต่างๆ
กับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเวลาช้านาน
โดยมีเมืองชายแดนที่มีศักยภาพรองรับการพัฒนาในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นอำเภอแม่สาย
อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายยังมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์
ซึ่งถือเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งในแง่การท่องเที่ยว แต่ก็พบว่า
เมืองชายแดนที่มีศักยภาพรองรับการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้น 'ท้องถิ่น'
กลับไม่สามารถผลักดันศักยภาพพื้นที่ของตนเองได้อย่างที่ควร
จากงานวิจัยเรื่อง
'ความพร้อมของภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดบริการสาธารณะเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ชายแดน
กรณีศึกษาอำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย' โดย 'ณัฐกร
วิทิตานนท์' เสนอต่อแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.)
ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สิงหาคม
2556
ที่ได้ทำการศึกษาความพร้อมในเชิงโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรภาครัฐโดยรวมและบทบาทในการพัฒนาการท่องเที่ยวขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน
5 แห่ง ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
พบข้อค้นพบที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ศักยภาพ 'เชียงแสน-เชียงของ'
ด้วยอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ถือเป็นอำเภอหน้าด่านทางเศรษฐกิจและเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อประเทศต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในจุดที่สามารถจะเชื่อมต่อเข้ากับจีนได้โดยง่าย
ทั้งทางน้ำและทางบก ทำให้มีโอกาสในด้านการค้าและการลงทุนสูงมาก เห็นได้จากมูลค่าการค้าชายแดนที่เพิ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี
(ก่อนการระบาดของโควิด-19)
รัฐบาลจึงต้องจัดวางตำแหน่งทางยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาเมืองไว้ให้
โดยกำหนดให้ "เชียงแสน" เป็นเมืองแห่งท่าเรือส่งออก-นำเข้า (Port City)
และเมืองท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ ส่วน "เชียงของ"
เป็นเมืองศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายและกระจายสินค้าหลายรูปแบบ (Logistic City)
และเมืองแวะหรือผ่านสำหรับนักท่องเที่ยว
ยิ่งกว่านั้น ทั้ง 2 อำเภอนี้อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดเชียงราย
ที่จึงมีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่ทยอยเกิดขึ้นในพื้นที่
ไม่ว่าจะท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน หรือสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4
รวมทั้งโครงการขนาดใหญ่สืบเนื่องตามมาอีกมากมาย เฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่อำเภอเชียงของ
ไม่ว่าจะเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า นิคมอุตสาหกรรม
สถานีขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ
และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นต้น
ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจย่อมส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวที่เป็นภาพรวมทั้งจังหวัดไปด้วย โดยเฉพาะตลาดประเทศจีนในช่วงก่อนโควิด-19 มีชาวจีนจำนวนมากเข้ามายังประเทศไทยโดยเลือกที่จะเดินทางผ่านจังหวัดเชียงรายทั้งทางบก (รถยนต์) ด้านอำเภอเชียงของ และทางน้ำ (เรือ) ด้านอำเภอเชียงแสน และแนวโน้มโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 6 แห่งได้แก่
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน,
เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน, องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแซว
อำเภอเชียงแสน, เทศบาลตำบลเวียงเชียงของ อำเภอเชียงของ และเทศบาลตำบลเวียง
อำเภอเชียงของ มีข้อค้นพบที่น่าสนใจหลายประเด็น
การให้บริการสาธารณะในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถนน ระบบขนส่งสาธารณะ สถานีขนส่งทางบกและทางน้ำ
ต่างอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานหลายสิบหน่วยงานด้วยกัน
และแทบทั้งหมดคือหน่วยงานในระดับส่วนกลางทั้งสิ้น ขณะที่ อปท.มีอำนาจอันจำกัด
ส่งผลให้ปัญหาสำคัญหลายเรื่องของท้องถิ่นคำตอบกลับไม่ได้อยู่ที่ท้องถิ่น
ตัวอย่างเช่น บาง อปท.ไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงท่าเรือได้
เนื่องจากจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าก่อน หรือบาง
อปท.ไม่สามารถจะเข้าไปซ่อมแซมถนนได้ เพราะเป็นทางหลวงแผ่นดิน หรือทางหลวงชนบท
ทั้งๆ ที่สองกรณีปัญหานี้เกิดขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ อปท.นั้นๆ
และถึงแม้
อปท.ที่เป็นกรณีศึกษาบางแห่งจะไม่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเป็นการเฉพาะ
แต่พบว่ามีการสอดแทรกประเด็นด้านการท่องเที่ยวอยู่ในยุทธศาสตร์อื่น ได้แก่
ยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นต้น นอกจากนี้
อปท.ทุกแห่งล้วนแล้วแต่จัดทำโครงการกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือทางอ้อมขึ้นทั้งสิ้น
มากน้อยแตกต่างกันไปตามศักยภาพและความต้องการของ อปท.แต่ละแห่ง
ด้านโครงการที่เชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวนั้น
เมื่อพิจารณาโดยลองเทียบออกเป็นสัดส่วน
พบว่าสัดส่วนของโครงการด้านการท่องเที่ยวต่อโครงการในแผนพัฒนา 3 ปี
รวมทั้งหมดทุกด้าน โดยรวมยังถือว่าน้อยมากเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5.7 เท่านั้น
ขณะที่สัดส่วนของงบประมาณด้านการท่องเที่ยวต่องบประมาณในแผนพัฒนา 3
ปีรวมทั้งหมดทุกด้านก็จัดว่าน้อยเช่นเดียวกัน โดยตัวเลขอยู่ที่ราวร้อยละ 5.6
ส่วนปัญหาใหญ่ที่เป็นปัญหาภาพรวม นั่นคือท้องถิ่นทุกแห่ง (ยกเว้นกรณี
อบจ.เชียงราย)
ไม่สามารถที่จะนำเอาโครงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่คิดริเริ่มไว้ล่วงหน้าและถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนา
3 ปี ไปสู่การดำเนินงานจริงได้อย่างเต็มที่นัก พูดตามจริงก็คือ
"ท้องถิ่นคิดได้มาก แต่ทำได้น้อย"
เนื่องจากท้องถิ่นยังคงเต็มไปข้อจำกัดมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับภารกิจด้านการท่องเที่ยวนั่นเอง
งานวิจัยชิ้นนี้พบว่าภายในอำเภอเชียงแสน มีหน่วยงานบริหารรวมทั้งสิ้น 45
หน่วย เป็นหน่วยงานส่วนกลาง 24 หน่วย เป็นหน่วยงานส่วนภูมิภาค 8 หน่วย
(ไม่นับรวมหน่วยงานระดับตำบล และหมู่บ้าน) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 6 หน่วย
และเป็นหน่วยงานส่วนท้องถิ่น 7 หน่วย ส่วนภายในอำเภอเชียงของ
มีหน่วยงานบริหารรวมทั้งสิ้น 36 หน่วย เป็นหน่วยงานส่วนกลาง 15 หน่วย 12
เป็นหน่วยงานส่วนภูมิภาค 8 หน่วย (ไม่นับรวมหน่วยงานระดับตำบล และหมู่บ้าน)
เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 8 หน่วย และเป็นหน่วยงานส่วนท้องถิ่น 8 หน่วย
จะเห็นได้ว่าอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ
มีหน่วยงานราชการที่มีภารกิจในด้านความมั่นคงเข้ามาจัดตั้งอยู่ในพื้นที่มิใช่น้อยและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งเป็นไปตามความเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นผลจากการค้าชายแดนที่กำลังขยายตัว
ข้อสังเกตคือในระหว่างที่ทำการศึกษานั้นพบว่าไม่มีหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่รับผิดชอบภารกิจด้านการท่องเที่ยวโดยตรงเข้ามาตั้งอยู่ในพื้นที่ของทั้ง
2 อำเภอนี้แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (หรือ ททท.ที่ถือเป็นรัฐวิสาหกิจ)
ถึงกระนั้นยังคงพอมีหน่วยงานที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง เช่น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน, เขตห้ามล่าพันธ์สัตว์ป่าหนองบงคาย,
สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (ทะเลสาบเชียงแสน) เป็นต้น
ทว่าหน่วยงานหลักข้างต้นก็ถือว่ามีบทบาทสูงในการนำงบประมาณมาลงในพื้นที่ เช่น
ผ่านสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานหลักที่จะเอื้อต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง พบว่ามีหน่วยงานจำนวนมากและแทบทั้งหมดเป็นราชการบริหารส่วนกลาง
ซึ่งเต็มไปด้วยข้อจำกัดในเชิงบริหารจัดการ เช่น
ตอบสนองต่อปัญหาในพื้นที่หรือความต้องการของประชาชนล่าช้า
ความซ้ำซ้อนและซ้อนทับทั้งในเชิงพื้นที่และหน้าที่ ทำให้ขาดเอกภาพ
ไม่มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ฯลฯ
ลักษณะเช่นนี้ทั้งกรณีของอำเภอเชียงของและอำเภอเชียงแสน
อาจสะท้อนภาพรวมของทั้งประเทศว่าระบบราชการไทยในระดับสูงถูกแยกออกเป็นส่วนๆ
ขาดเอกภาพ แต่ละกระทรวงมีอิทธิพลขยายลงไปในระดับพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศได้
เมื่อส่วนกลางมีอำนาจมาก ท้องถิ่นก็ยังคงอ่อนแอ มีลักษณะของ
"การรวมศูนย์อำนาจแบบแยกส่วน" (Fragmented Centralism)
หรือที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่าเป็น "กรมมาธิปไตย"
ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้ยกตัวอย่างการขนส่งทางน้ำ
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศักยภาพแฝงที่ช่วยหนุนเสริมการท่องเที่ยวของพื้นที่
เพราะทั้งอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของมีแม่น้ำโขงทอดยาวตลอดแนวด้านตะวันออกของทั้ง
2 อำเภอ ทำให้มีสถานีขนส่งทางน้ำตั้งอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก มีทั้งท่าเรือขนส่งสินค้า
ท่าเรือท่องเที่ยว ท่าเรือโดยสาร
ตลอดทั้งท่าเรือสาธารณะและท่าเรือเชิงพาณิชย์ที่ให้บริการโดยมีการเรียกเก็บค่าใช้บริการ
ทั้งนี้ อปท.ในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ
ควรต้องเข้ามามีบทบาทบริหารจัดการ ทั้งท่าเทียบเรือ สะพานปรับระดับ
หรือโป๊ะเทียบเรือ เป็นต้น แต่กลับพบปัญหา
"ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของส่วนกลางหลายหน่วยงาน" ตัวอย่างเช่น
"ท่าเรือบั๊ค" ที่ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ เมื่อ
อปท.จะดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาให้ท่าเรือนี้ดี
แต่กลับต้องติดขัดข้อกฎหมายและยังไปทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของส่วนกลางหลายหน่วยงาน
ไม่ว่าจะเป็นกรมแผนที่ทหาร
(สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุดหรือกองบัญชาการกองทัพไทยในปัจจุบัน) กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
(กระทรวงการต่างประเทศ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมเจ้าท่า (กระทรวงคมนาคม)
ด้วยความที่เป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ (เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสองหน่วยงานแรก)
หรือถือเป็นการปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ (เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานหลัง)
จึงจำเป็นต้องได้รับอนุญาตก่อน เมื่อ อปท.จะทำการพัฒนาก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานใดเลย
ส่งผลให้โครงการหยุดชะงักและไม่สามารถดำเนินการต่อไป
กรณีนี้อาจใช้สะท้อนปัญหาภาพรวมที่รัฐส่วนกลางยังหวงอำนาจระดับสูง
และความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
ในด้านข้อเสนอของงานวิจัยชิ้นนี้
เสนอว่าจะต้องวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวโดยรวมของอำเภอชายแดนตามลำน้ำโขงในจังหวัดเชียงราย
(อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น)
ที่มาจากความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ทั้งระดับส่วนกลาง
ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ
และภาคประชาสังคมเนื่องจากที่ผ่านมา
ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่ทำการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นผู้กำหนดลงมาให้
และขาดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในระดับท้องถิ่นเสมอมา
สำหรับการวางยุทธศาสตร์
แผนพัฒนาและโครงการในด้านการท่องเที่ยวของแต่ละท้องถิ่น ควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน
และประชาชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยในทุกขั้นตอน มาตรการอื่นๆ เช่น
จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ อปท.ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย
และให้มีเจ้าหน้าที่ของ อปท.มารับผิดชอบงานเรื่องการท่องเที่ยวโดยตรง เป็นต้น
ข้อเสนอระยะยาวของงานวิจัยนี้คือ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นรัฐต้องเร่งรัดที่จะ "กระจายอำนาจ" เพื่อให้ท้องถิ่นมี "ความเป็นอิสระ" มากยิ่งขึ้น ทั้งการถ่ายโอนภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานส่วนกลางและภูมิภาคให้แก่ท้องถิ่นเพิ่มเติม มีการกระจายอำนาจทางการคลัง ซึ่งมิใช่เพิ่มอัตราส่วนเงินอุดหนุนให้แก่ท้องถิ่นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องส่งเสริมให้ท้องถิ่นสามารถจัดเก็บภาษีลักษณะใหม่บางประเภทได้ เช่น ภาษีที่เน้นการจัดเก็บจากภาคธุรกิจ เป็นต้น และควรเปิดกว้างสำหรับแนวทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยเป็นประเด็นถกเถียงสาธารณะอย่างกว้างขวางมาก่อน เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค การจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ การยุบรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน การกำหนดให้โครงสร้างภายในองค์กรเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งเท่ากับเป็นการปูทางไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างการปกครองไทยขนานใหญ่ในภายภาคหน้าต่อไป

