อุทยานธรณีสตูล จังหวัดสตูล อุทยานธรณีโลกแห่งแรกของไทย บันทึกหลักฐานโลกใต้ทะเลกว่า 500 ล้านปี ท่องเที่ยวเรียนรู้ที่อำเภอทุ่งหว้า

18 ตุลาคม 2023
|
32301 อ่านข่าวนี้
|
12

อุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark)” อุทยานธรณีโลกแห่งแรกของไทย หนึ่งในอุทยานธรณีโลก 120 แห่งของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks: โครงการด้านการอนุรักษ์มรดกทางธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรมขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก)

บนพื้นที่ 2,597.21 ตารางกิโลเมตร ของอุทยานธรณีสตูล ซึ่งมีบันทึกหลักฐานของโลกใต้ทะเลกว่า 500 ล้านปี อุดมไปด้วยสัตว์ทะเลหลายชนิดที่มีรูปร่างแปลก มีเส้นทางท่องเที่ยวเรียนรู้ทางธรรมชาติที่หลากหลาย ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้วยังได้รับความรู้ทางธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ พร้อมๆ กับเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นอีกด้วย

อุทยานธรณีสตูลครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสตูล ได้แก่ อำเภอทุ่งหว้า อำเภอมะนัง อำเภอละงู และอำเภอเมือง ซึ่งในแต่ละอำเภอมีสถานที่ท่องเที่ยวเรียนรู้ที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นทะเล เกาะ ป่า ถ้ำ น้ำตก และมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่น่าสนใจ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ต่อยอดจากภูมิปัญญาและใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่

ท่องเที่ยวเรียนรู้ที่อำเภอทุ่งหว้า

ถ้ำเล สเตโกดอน หรือเดิมเรียกว่า “ถ้ำวังกล้วย” ที่มาของชื่อสืบเนื่องจากการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของช้างสเตโกดอนเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในภาคใต้ เป็นถ้ำธารลอดใต้เขาหินปูน มีความยาวประมาณ 3.4 กิโลเมตร โถงถ้ำมีลักษณะเป็นอุโมงค์คดเคี้ยวไปมา ภายในถ้ำยังมีการก่อตัวของหินงอกหินย้อยงดงามแปลกตา และพบว่ามีฟอสซิลของแรด กวาง และสัตว์อื่นๆ สมัยไพลสโตซีนเป็นจำนวนมาก

หอสี่หลัง คำว่า “สี่หลัง” หมายถึง เนินทรายสี่เนินที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำทะเลเมื่อยามน้ำลง หอสี่หลังเป็นเนินทรายกลางทะเล ที่มีพืชและสัตว์ทะเลหลายชนิดอาศัยอยู่ เช่น ปูก้ามดาบก้ามขาว ปูทหารก้ามโค้ง ไส้เดือนทะเล และที่สำคัญที่สุด พบหญ้าทะเลชนิดหญ้าใบพาย (Halophila beccarii) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “หญ้าเงาแคระ” หญ้าทะเลที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและครอบคลุมพื้นที่เป็นผืนใหญ่ และยังเป็นหญ้าทะเลเพียงชนิดเดียวของประเทศไทยที่มีสถานภาพเป็นชนิดที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable species) ตามบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN Red List) บริเวณนี้ยังมีความสำคัญในการเป็นพื้นที่หากินของนกพันธุ์หายาก นับเป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นและมีระบบนิเวศชายฝั่งทะเลที่สมบูรณ์ที่สุดและควรค่าแก่การอนุรักษ์

เกาะตะบัน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา มองแต่ไกลจะเห็นรูปหมวกตะบัน (หมวกของมุสลิม) เป็นเกาะหินปูนขนาดเล็ก มีความกว้างประมาณ 700 เมตร มีหน้าผาสูงชัน เป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวแม่ไก่จำนวนมากซึ่งจะบินออกมาหากินยามค่ำคืน มีถ้ำทะเลที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น หาดทรายที่เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนทราย หาดเลนที่มีป่าชายเลนปกคลุม บางบริเวณเป็นหาดเปลือกหอยหอยที่เกิดจากการสะสมของเปลือกหอยหรือซากหอยเดือนที่ทับถมกันเป็นชั้นหนา พบซากดึกดำบรรพ์ในก้อนหินปูน เช่น ปะการังสกุล Syringopora ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว แบคริโอพอด (สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังรูปร่างคล้ายหอย) พลับพลึงทะเล หอยกาบคู่

เขาทะนาน ภูเขาหินปูนยุคเพอร์เมียน มีอายุประมาณ 280 ล้านปี ซึ่งพบได้น้อยในจังหวัดสตูล มีลักษณะคล้ายเกาะที่อยู่บนแผ่นดิน ส่วนฐานคอดเว้า มีร่องรอยการกัดเซาะของน้ำทะเลในอดีต พบซากดึกดำบรรพ์สัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น หอยสองฝา แบรคิโอพอด ไบรโอซัว (สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง) ปะการัง ฟองน้ำ หอยกาบเดี่ยว และพลับพลึงทะเล และมีถ้ำที่มีความยาวประมาณ 200 เมตร ภายในถ้ำมีหินย้อยและค้างคาวอาศัยอยู่ บริเวณทางขึ้นถ้ำมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเขาท่ายาง เขาใหญ่ ปากบารา และเขาอุไร

หาดราไว อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา เป็นหาดทรายที่เกิดจากกระแสน้ำพัดพาตะกอนทรายสีเทาคล้ำมาสะสมขนานไปกับแนวชายฝั่ง

น้ำตกธารปลิว สูงประมาณ 5 เมตร พบในพื้นที่หินปูนยุคออร์โดวิเชียน มีอายุประมาณ 470 ล้านปี เกิดจากการพอกตัวของคราบหินปูนและตะกอนแขวนลอยที่มากับน้ำ จนเป็นทำนบลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม

น้ำตกธารสวรรค์ ประกอบด้วยน้ำตก 2 ชั้น ชั้นบนเป็นน้ำตกขนาดเล็ก สูงประมาณ 3 เมตร ชั้นล่างเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สูงประมาณ 10 เมตร ความกว้างของลานด้านบนน้ำตกประมาณ 20 เมตร เกิดจากลำห้วยซึ่งไหลผ่านพื้นที่หินปูนแล้วนำพาสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตและตะกอนแขวนลอยมาพอกตัวสะสมบริเวณน้ำตกจนเป็นทำนบไหลลดหลั่นกันลงมาย่างสวยงาม

ซากดึกดำบรรพ์เขาโต๊ะสามยอด เป็นภูเขาหินปูนลูกโดดขนาดเล็ก พบที่ศาลทวดโต๊ะสามยอด พื้นที่มีขนาดประมาณ 30x40 เมตร ชั้นหินมีลักษณะเป็นชั้นหินปูนกับชั้นหินปูนเนื้อโคลนที่ถูกบีบอัดจนชั้นหินขาดออกจากกันเป็นก้อนทรงมน และพบซากดึกดำบรรพ์นอติลอยด์ (สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังกลุ่มเดียวกันกับหมึก) ขนาดใหญ่ มีซากเปลือกหอยกาบคู่ในลักษณะคว่ำลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหินปูนนี้เกิดการสะสมตัวบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีอิทธิพลของคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ลักษณะหินปูนจัดอยู่ในหมวดหินตะโล๊ะดังหรือหมวดหินแลตองของกลุ่มหินทุ่งสง

ถ้ำวังกลาง ถ้ำธารลอดที่มีลักษณะเป็นอุโมงค์ยาวกว่า 1 กิโลเมตร ลักษณะทางธรณีวิทยาที่นี่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางบริเวณเนื้อหินเป็นหินปูนสีเทา และบางบริเวณเป็นหินโคลนสีม่วงที่ปะปนด้วยเม็ดปูนกลมสีขาว

คลองห้วยบ้า พบหินโผล่ตามลำธารเป็นหินปูนชั้นบางสีแดงที่มีโครงสร้างสโตรมาโตไลต์ (โครงสร้างหินตะกอน เกิดจากสิ่งมีชีวิตไซยาโนแบคทีเรีย ชาวสตูลเรียกลักษณะของหินนี้ว่า “หินสาหร่าย”) ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 30x100 ตารางเมตร

หมวดหินป่าเสม็ด พบวางตัวอยู่บนหมวดหินควนทัง ที่หลักกิโลเมตรที่ 9.7-9.8 เส้นทางละงู-ทุ่งหว้า ท้องที่บ้านป่าเสม็ด ชั้นหินล่างสุดเป็นหินดินดานสีดำ พบซากแทนทาคิวไลต์ (สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง) จำนวนมาก ตอนกลางเป็นหินทรายสีน้ำตาลและแดง พบซากแอมโมไนต์ (สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง) หลายชั้น และพบหินกรวดมน ชั้นหินตอนบนเป็นหินดินดานสีเทาดำชั้นบางมาก พบซากแอมโมไนต์และแบรคิโอพอด หมวดหินนี้มีอายุยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนต้น

พิพิธภัณฑ์อุทยานธรณีโลกสตูล ศูนย์ข้อมูลแหล่งอนุรักษ์ทางธรณีวิทยา ให้บริการข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ และโบราณวัตถุที่สำคัญที่ค้นพบในพื้นที่

พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์บ้านทุ่งหว้า ตั้งอยู่ที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า จัดแสดงซากช้างดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบในถ้ำเล สเตโกดอน ซากดึกดำบรรพ์สัตว์ต่างๆ และโบราณวัตถุที่ค้นพบในพื้นที่ รวมทั้งจัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวเกี่ยวกับช้างไทย ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในจังหวัดสตูล

ศูนย์เรียนรู้ธรณีวิทยา โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ โรงเรียนอุทยานธรณีแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งได้รับการรับรองประเมินจากยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นสถานศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์เรียนรู้ธรณีวิทยาสำหรับทุกคนให้ได้ศึกษาเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา และจัดทำหลักสูตรอุทยานธรณีของจังหวัด เพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรณีวิทยาซากดึกดำบรรพ์ และเรื่องราวความเป็นมา เพื่อความยั่งยืนของชุมชนต่อไป

บ้านของเก่าโบราณ บ้านท่าข้ามควาย หรือ “พิพิธภัณฑ์บ้านท่าข้ามควาย” แหล่งรวบรวมของเก่า ของโบราณ เครื่องใช้โบราณที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน ซึ่งคนในชุมชนสะสมไว้

ศูนย์เรียนรู้การเพาะขยายพันธุ์พืชใกล้สูญพันธ์ กล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์ขาวสตูล กล้วยไม้รองเท้านารีเป็นพืชอนุรักษ์ที่สวยงาม กล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์ขาวสตูลเป็นกล้วยไม้ดินที่ขึ้นตามภูเขาหินปูน ดอกสีขาวสวยงาม พบมากในจังหวัดสตูล และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปัจจุบันพบได้ยาก ชาวบ้านในพื้นที่จึงรวมกลุ่มกันเพาะขยายพันธุ์เพื่อคืนสู่ป่าก่อนที่พันธุ์ไม้นี้จะสูญพันธุ์ โดยขออนุญาตจากไซเตส (CITES: อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้ท้องถิ่นให้คงอยู่ตลอดไป

ศูนย์เรียนรู้สวนควนข้อง หม้อข้าวหม้อแกงลิง สวนเพาะขยายพันธุ์หม้อข้าวหม้อแกงลิง พันธุ์ไม้หายากเพื่อการอนุรักษ์ และมีกิจกรรมสาธิตการทำขนมพื้นเมือง “ข้าวเหนียวหม้อข้าวหม้อแกงลิง”

ศูนย์เรียนรู้พริกไทยสุไหงอุเป พริกไทยพันธุ์สุไหงอุเปเป็นพริกไทยพันธุ์ดั้งเดิมของอำเภอทุ่งหว้า มีรสชาติเผ็ดร้อน เข้มข้น และกลิ่นหอม โดยใช้เป็นส่วนผสมในขนมต่างๆ และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ขนมผูกรัก ขนมบุหงาบูดะสูตรพริกไทย คุ้กกี้พริกไทย ข้าวเกรียบธัญพืชพริกไทย ลูกประคบพริกไทย ยาดมพริกไทย และยาหม่องพริกไทย

ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ บ้านท่าอ้อย ชุมชนบ้านท่าอ้อยเป็นกลุ่มชุมชนเล็กๆ ที่มีส่วนร่วมกับอุทยานธรณีสตูล โดยนำต้นตะบูน พันธุ์ไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์และสร้างรายได้ และมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สีจากธรรมชาติและฝึกทักษะการทำผ้ามัดย้อม

จักสานต้นคลุ้ม บ้านวังตง ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่ต่อยอดจากภูมิปัญญาของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรจักสานต้นคลุ้มบ้านวังตง โดยการนำต้นคลุ้มซึ่งพบได้มากในสวนยางพาราผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจักสานมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากการทำสวนยางพารา

สมุนไพรทักษอร วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรทักษอรแปรรูปและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เช่น ลูกประคบ ยาหม่อง น้ำมันเหลือง ผงสมุนไพรแช่เท้า ฟ้าทะลายโจร โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมการผลิตพืชสมุนไพรของกรมส่งเสริมการเกษตร

ประเพณีไหว้ผีโบ๋ เป็นประเพณีสำคัญที่สืบทอดกันมาของอำเภอทุ่งหว้า เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 7 ตามปฏิทินจีน (ช่วงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมของทุกปี) “โบ๋” เป็นภาษาถิ่นใต้ แปลว่า หมู่ พวก การไหว้ผีโบ๋ หมายถึง การไหว้ผีหัวหลาด (บริเวณตลาดหน้าโรงภาพยนตร์ทุ่งหว้าเก่า) ไหว้หน้าตลาด ไหว้กลางเมือง เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วไม่มีญาติทำบุญอุทิศสวนกุศลให้

แหล่งข้อมูล :

1.       อุทยานธรณีสตูล www.satun-geopark.com

2.       จังหวัดสตูล www.satun.go.th

3.       กรมทรัพยากรธรณี www.dmr.go.th

4.       กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช www.dnp.go.th

รูปภาพ : นิรุติ์ เต็งศิริ

บทความใกล้เคียง
ดูบทความทั้งหมด
ไซบอร์กแห่งปี 2025
27 มิถุนายน 2025
11 0
0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI