Sink of Middle Class เมื่อชนชั้นกลางกำลังจะหายไป
ว่ากันว่าโลกของธุรกิจในปัจจุบันนั้นมีสภาพไม่แตกต่างจากภาวะโลกร้อนที่เรากำลังเผชิญอยู่
นั่นคือเราไม่สามารถแบ่งฤดูกาลได้ชัดเจนเหมือนเก่า
ความไม่แน่นอนของปรากฎการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ที่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่รุนแรงและคาดเดายาก
เช่นเดียวกับโลกด้านอื่นๆ ไม่ว่าการเมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
สภาวะแบบนี้เราเรียกกันว่าเป็นโลกวูก้า (VUCA World) ซึ่งรวมๆ นั้นหมายถึงการเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อีกต่อไป
การที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ย่อมส่งผลถึงการแกว่งของชนชั้นด้วยเช่นกัน
รายได้ของพนักงานกินเงินเดือนในบริษัทที่เคยแน่นอนก็แกว่งไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งยากเกินคาดเดา
เหตุการณ์การระบาดของโควิด-19 มาจนถึงสงครามระหว่างรัสเซีย ยูเครน
เป็นตัวอย่างที่ดีมากของโลกวูก้า ที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อความสามารถในการหารายได้ของคนโดยเฉพาะชนชั้นกลางซึ่งถือเป็นหน่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหญ่ของโลก
แต่ ณ เวลานี้ดูเหมือนว่าชนชั้นกลางนั้นก็ดูจะไม่กลางอีกต่อไป
แต่กำลังโดนผลักไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของกำแพง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
กระแสของชนชั้นกลางที่กำลังหดตัวลง ต้องย้อนกลับไป ตั้งสมัยการเกิดวิกฤตซับไพร์มในปี 2007 ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ยังคงส่งผล กระทบทางเศรษฐกิจมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ทุกวันนี้ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ตัวเลขหลายอย่างบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่สามารถกลับมาทำได้ดีเหมือนก่อน และมีหนี้สินและหนี้เสียเพิ่มขึ้นมาก สำนักงานเครติดบูโรของสหรัฐบอกว่ารายได้ของต่อครัวเรือนของคนอเมริกันชนชั้นกลางยังคงต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤตซับไพร์ม ครอบครัวอเมริกันมีรายได้ต่อครัวเรือนอยู่ที่ราว 54,000 เหรียญต่อปี ต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤตซับไพร์มอยู่ราว 6.5% และต่ำกว่าจุดสูงสุดที่ครัวเรือนชนชั้นกลางเคยทำได้เมื่อปี 1999 อยู่ 7.2% ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าคนอเมริกัน ก็ยังไม่มีปัญญาจ่ายหนี้ที่มีอยู่ท่วมหัวตัวเอง
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ
มรดกอย่างหนึ่งที่วิกฤตครั้งนั้นทิ้งไว้ให้ก็คือ คนเริ่มชินชากับการเป็นหนี้
การไม่มีงานทำหรือกระทั่งการเป็นบุคคลล้มละลาย
ยิ่งเมื่อเจอเข้ากับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบอย่างมาก
การขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลล้มละลายดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว
แต่กลายเป็นเรื่องปกติ ผู้คนเริ่มชาชินกับการเป็นหนี้ เริ่มไม่สนใจและไม่คิดว่านี่คือเรื่องน่าอายหรือเป็นการสูญเสียความน่าเชื่อถือ
ยิ่งเมื่อข้อมูลเหล่านี้ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลด้วยแล้ว
ไม่มีการประนามอย่างโจ่งแจ้ง ก็กลายเป็นว่ายอดของผู้ที่ขอยื่นล้มละลายกับรัฐบาลสหรัฐนั้นสูงขึ้น
10 เท่าจาก 3.5 แสนคนเมื่อกลางทศวรรษที่ 1990 กลายเป็น 3 ล้านคนในทศวรรษนี้
ที่น่ากลัวกว่าคือยอดการทำบัตรเครติดใหม่ของสถาบันการเงินและการใช้จ่ายแบบเกินตัวยังดูเหมือนยังคงอยู่
ฟารีด ซาคาเรีย นักวิเคราะห์ของ CNN ยังเคยกล่าวในรายการของเขาว่า
ทุกวันนี้คนอเมริกันยังคงมีบัตรเครติดเฉลี่ยคนละ 13 ใบ
และวุ่นวายกับการวนเอาเงินจาก บัตรเครติดใบนั้นมาโปะใบนี้
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในสหรัฐอเมริกา
โลกหลังยุคโควิดและการเข้ายุคสู่สงครามในยุโรป เป็นตัวเร่งทำให้เศรษฐกิจอยู่สภาวะที่ย่ำแย่ลงไปอีก หลายธุรกิจเริ่มปรับตัวจากราคาพลังงานที่สูงมากขึ้นและทำการลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ราคาพลังงานนั้นสูงเกือบเท่ากับวิกฤตน้ำมันเมื่อปี 1978 หลายต่อหลายแบรนด์ออกมายอมรับเรื่องของการลดปริมาณ การปรับเปลี่ยนคุณภาพของวัตถุดิบ สิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ผลิตสินค้าก็คือ สินค้าที่ออกแบบมาเพื่อชนชั้นกลาง ได้รับความกระทบกระเทือนเพราะชนชั้นกลางได้กลายเป็นผู้บริโภคที่คำนึงถึงราคาเป็นหลักมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก หรือที่เราเรียกว่า เหล่านักช้อป cost-concious นั่นคือคิดถึงความคุ้มค่าเป็นหลัก
แม้จะชอบแบรนด์หรือคุ้นเคยกับแบรนด์มากแค่ไหน แต่ก็ยอมเปลี่ยนเพื่อลดค่าใช้จ่าย นั่นสะท้อนว่าช่องว่างของรายได้ของคนจนและคนรวยเริ่มถ่างออก ทำให้เราพบว่าสินค้าที่เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างยูนิโคล (Uniqlo) หรือสินค้าที่เน้นการทำโปรโมชั่นจะได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีกับตลาดโดยภาพรวม เพราะสร้างควาวมเคยชินใหม่และผลกำไรของผู้ผลิตที่ลดลงนั่นหมายถึงความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือภาวะตึงตัวของการเงิน ย่อมส่งผลถึงคุณภาพชีวิตของพนักงานของพวกเขาด้วยเช่นกัน นั่นคือการก่อหนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
จริงๆ แล้วชนชั้นกลางกับการเป็นหนี้ถือเป็นของคู่กัน
กล่าวได้ว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจอยู่ได้
แต่ถ้าหากว่าชนชั้นกลางพนักงานกินเงินเดือนมีหนี้สินมากเกินไป
และไม่ยังยั้งชั่งใจในการจับจ่าย
จากชนชั้นกลางอาจต้องเลื่อนสถานะภาพลงไปเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่งในสายตาของธนาคาร
และเครติดบูโร
ครั้งหนึ่ง วอเร็น บัฟเฟต เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ว่าการใช้จ่ายเกินตัวนี่แหล่ะที่ทำให้คนฉลาดแกว่งมานักต่อนัก ‘ถ้าคุณทำเรื่องฉลาดๆ คุณจะลงเอยด้วยการมีฐานะร่ำรวย แต่ถ้าคุณทำเรื่องฉลาดพร้อมกับก่อหนี้ แล้วเผลอทำผิดพลาดแค่ครั้งเดียว คุณจะสูญเสียทุกอย่างไปหมด เพราะไม่ว่าอะไรๆ เอาไปคูณกับศูนย์ก็จะได้ศูนย์เสมอ
‘ปัญหาก็คือ เมื่อคุณเห็นคนอื่นสำเร็จ และคุณก็กำลังสำเร็จ ก็ยิ่งกระตุ้นให้คุณอยากทำมากขึ้น เหมือนซินเดอเรลล่าที่ไปงานเลี้ยง เมื่อถึงเวลาที่คุณควรต้องกลับตอนห้าทุ่มสี่สิบห้า แต่คุณคิดว่าคุณจะอยู่ต่ออีกสักสิบนาทีก็ได้ แต่ไม่มีคนแขวนนาฬิกาไว้ให้คุณดูและทุกคนก็คิดว่าจะออกงานเวลาเดียวกับคุณเหมือนกัน’ นัยยะของวอเรน คือในโลกของการทำธุรกิจ เราควรรู้จักพอในเวลาที่เหมาะสม อย่าตามคนอื่นให้มาก เพราะไม่อย่างนั้นอาจก่อหนี้เสียในระบบมากเกินไป
และนั่นเป็นที่มาของการล่มสลายของชนชั้นกลางที่บัฟเฟตนิยามไว้
ตอนนี้เราได้เห็นการปรับตัวขนานใหญ่ของบรรดาแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องเอาตัวรอด
จากสองปีที่หายไป และตอนนี้ยังมีเรื่องสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียให้คิดถึง
ถัดจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่และการขาดแคลนทรัพยากรที่ต้องมาดีลกันต่อ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดท่ามกลางความโกลาหลนี้ มนุษย์เราก็ยังหาทางลง
ยังไม่รู้จักพออยู่ดี ทำให้เกิดวิถีชีวิตแบบใหม่ก็คือการ ‘ยอมรับการเป็นหนี้ที่ง่ายขึ้น’ ซึ่งกำลังบั่นทอนความสามารถของชนชั้นกลางและความมั่นคงทางการเงินของประเทศและเลยไปถึงระดับโลกได้เลย
สังเกตได้จากสภาพล้มละลายของ กรีซ เวเนซูเอล่า และตามมาด้วย ศรีลังกา ที่กำลังย่ำแย่
อนาคตยังสามารถลามไปได้อีกหลายประเทศ
ถึงตอนนั้นนึกไม่ออกเหมือนกันว่าโลกจัดระเบียบล้างไพ่กันอย่างไร
มีคนเปรียบไว้ว่าสภาพการณ์ของประเทศลูกหนี้กับเจ้าหนี้ตอนนี้เหมือนคนจนไม่ลง
เหมือนกับเช่นที่ที่เคยเกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 1980 ที่เกิดกระแส Welfare Queen ที่ผู้หญิงมักปั้นเรื่องให้ดูน่าสงสารและขอเงินสนับสนุนจากเงินสวัสดิการแทนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองให้เหมาะสมกับสภาพ
ซึ่งดูไม่แตกต่างจากสภาพของชนชั้นกลางของประเทศที่กำลังพัฒนาที่ติดกับดักเรื่องรายได้ต่อหัวไม่ขยับอยู่ตอนนี้เพราะความบิดเบี้ยวของการใช้เงิน

