CoFact โครงการความร่วมมือที่สืบเสาะข้อเท็จจริงด้วย ความไม่เชื่อ ไว้ก่อน
ด้วยความพยายามเพียงน้อยนิด
เพียงใช้ปลายนิ้วกดที่หน้าจอสมาร์ทโฟน เปิดเข้าสู่แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์
สารพัดข้อมูล สารพัดข่าวสารก็ล้นทะลักเข้าสู่การรับรู้ของเรา
Hiroko Kanoh นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยามางาตะ
เปรียบเทียบลักษณะการแพร่ของข่าวปลอมในสื่อสังคมออนไลน์
ว่าคล้ายคลึงกับวิวัฒนาการและการแพร่กระจายของโรคระบาด ข่าวลือ
ข่าวปลอมก็เหมือนเชื้อโรคที่พัฒนาสายพันธุ์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายสิ่งมีชีวิต แพร่กระจายจากคนใกล้ชิด
กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ข่าวปลอมพัฒนาตัวเองจากความกระโตกกระตากโจ่งแจ้ง
กลายเป็นข้อมูลบิดเบือนที่แนบเนียนน่าเชื่อถือแทรกซึมเข้ามาในความรับรู้ของผู้ที่พร้อมจะเชื่อ
โดยมีสื่อสังคมออนไลน์เป็นพาหะช่วยแพร่กระจายได้กว้างไกล รวดเร็วกว่าการกระจายของโรคหลายร้อยหลายพันเท่าตัว
เพียงแค่กดปุ่มแชร์ รีทวีต หรือฟอร์เวิร์ด
ข่าวปลอมที่ผู้คนทั่วโลกแชร์มากที่สุดนั้นหนีไม่พ้นข่าวสุขภาพ
และยิ่งวิกฤตหนักขึ้นเมื่อเกิดการระบาดของโควิด 19 ส่งผลให้เกิดข่าวลือ
ความเข้าใจผิดนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับอาการของโรค พื้นที่ระบาดของโรค การจัดสรรวัคซีน
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน การเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนมาตรการเยียวยาของรัฐ ฯลฯ
แนวทาง Collaborative Fact Checking
แนวทางนี้เกิดจากการรวมตัวของภาคประชาสังคมในไต้หวันที่ต้องการเปิดพื้นที่ให้ผู้คนที่หลากหลายเข้ามามีส่วนร่วมด้วยช่วยกันค้นหาข้อเท็จจริง
จึงเป็นหนทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเข้ามาช่วยกู้วิกฤตข่าวปลอมข่าวลือเหล่านี้
เพื่อไม่ให้มีการผูกขาดความจริงไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว
รวมถึงหลายครั้งหลายหนที่ข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงไปได้เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป
กำเนิดโคแฟคในไทย
งานสัมมนาว่าด้วยเรื่องการแก้ปัญหาข่าวลวง
(International Conference on Fake News) จากความร่วมมือของ 8 องค์กร ได้แก่
สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มีการแลกเปลี่ยนความรู้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงในข่าวต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายประเทศ
และมีการลงนามประกาศปฏิญญารวมพลังขับเคลื่อนต่อต้านข่าวลวงข่าวปลอมร่วมกันด้วย
สร้างความร่วมมือ จนโครงการโคแฟคในประเทศไทยเกิดขึ้นจริง
โคแฟคในประเทศไทย วางเป้าหมายไว้ 5 ระดับด้วยกัน
คือ
- ระดับบุคคล
ต้องมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร
พัฒนาให้ทุกคนมีทักษะในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร (Fact Checker)
- ระดับสังคม-วัฒนธรรม ลดอคติความเชื่อ
และสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความจริงร่วมกัน
- ระดับโครงสร้าง
ขับเคลื่อนงานในทุกภาคส่วนตั้งแต่ภาครัฐ สื่อมวลชน การศึกษา และภาคประชาชน
เพื่อให้เอื้อต่อการสร้างกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
- ระดับประเทศ
สร้างฐานข้อมูลกลางที่น่าเชื่อถือและเข้าถึงได้โดยสร้างความร่วมมืออกับทุกเครือข่าย
- ระดับชุมชน
แต่ละชุมชนจะมีข้อมูลข่าวสารแตกต่างกันไปตามบริบทของในพื้นที่นั้นๆ
การเกิดกลไกตรวจสอบข่าวลวงในระดับภูมิภาคจะคอยเชื่อมโยง
ตรวจสอบข้อมูลในระดับชุมชนและช่วยคลี่คลายปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากการรวมตัวครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นแล้ว โคแฟคประเทศไทย ก็ได้พบกับโจทย์ข่าวลือ ข่าวปลอมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ นั่นคือการ ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ระบาดของโควิด 19
ล้วงลึกข้อมูลลวง
“Blind trust is worse than no trust!” การเชื่ออะไรอย่างมืดบอดนั้นน่ากลัวกว่าการที่เราไม่เชื่อไว้ก่อน
เป็นคำพูดของออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลไต้หวัน
ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการทำงานของโคแฟคที่เชื่อว่าการแก้ปัญหาข่าวลวง
คือการทำให้ทุกคนตรวจสอบข่าวได้ (Fact checker) สร้างพื้นที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกัน
โดยเปิดเวทีให้มีตลาดทางความคิดเห็นที่หลากหลาย (Marketplace of Ideas)
เพื่อให้เกิดการแยกแยะข้อเท็จจริง (Facts) และ ความคิดเห็น (Opinion)
ออกจากกันบนพื้นฐานความเชื่อมั่นในวิจารณญาณของสังคม
โคแฟคดำเนินการโดยนำเทคโนโลยีของภาคพลเมือง (Civic
Tech) มาผสานกับงานเชิงข่าวด้านวารสารศาสตร์ (Journalism)
โดยมีทีมบรรณาธิการอาสาสมัครที่มีความรู้ ประสบการณ์
มาร่วมกันนำหัวข้อข่าวเข้าระบบ และช่วยให้ความเห็นต่อข่าวในเบื้องต้น
เพื่อดูแลทิศทางการแสดงความเห็น ไม่ให้ถูกชี้นำโดยผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเนื้อหาของข่าว
จากนั้นโยนข้อมูลที่ต้องการตรวจสอบเข้าไปในพื้นที่ชุมชนออนไลน์
ให้ทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยนโต้แย้งข้อเท็จจริงและความเห็นได้ นอกจากนั้นยังมีการใช้
Chatbot โปรแกรมการพูดคุยอัตโนมัติที่เปิดให้ทุกคนมาส่งข่าวให้ทีมกลั่นกรองได้
อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ
ทีมพัฒนางานข่าวเชิงลึก ทำข้อมูลวิเคราะห์
ตอบคำถามที่สืบเนื่องจากประเด็นข่าวจริงข่าวลวงที่เป็นกระแสหรือที่มีความสนใจในเชิงนโยบายและประโยชน์สาธารณะ
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการของสำนักข่าวโทรทัศน์
จากวิทยานิพนธ์กระบวนการนำเสนอข่าวและการคัดกรองข่าวปลอมของรายการข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง
7HD ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) ประเมินเนื้อหาเพื่อตั้งข้อสังเกตเบื้องต้น
2) ตรวจสอบหาต้นตอแหล่งที่มาของข่าว 3) ตรวจสอบแหล่งข้อมูลประกอบ และ 4)
สอบถามหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรง จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันในแง่วงจรข้อมูล
โดยที่โคแฟคมีการเปิดรับข้อมูลจากผู้คนที่หลากหลายมากกว่า และสามารถปรับเปลี่ยน
อัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
จากวันแรกเริ่มที่ 8 องค์กรช่วยกันก่อตั้งโครงการนี้ขึ้น เพียง 2 ปีผ่านไป มีองค์กรที่เข้ามาประกาศเจตนารมณ์ทำงานร่วมกันกว่า 39 องค์กร ทั้งในระดับองค์กรรัฐและเอกชน รวมถึงสื่อรายย่อยในระดับภูมิภาค แต่ภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการสร้างสังคมแห่งการตรวจสอบยังคงรออยู่ข้างหน้า ทั้งในแง่การผลักดันให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูล และการเสริมสร้างทักษะพลเมืองยุคดิจิทัล
การศึกษาวิจัยข้อมูลข่าวสารในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2564 โดย โคแฟค ประเทศไทย ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าจากชุดข้อมูลตัวอย่าง 1,585 ชุด มีโอกาสที่จะเป็นข่าวลวงกว่า 900 ชุด อัตราส่วนตัวเลขนี้จึงเป็นความท้าทายของกระบวนการร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ต้องอาศัยนวัตกรรมทางสังคมอีกจำนวนมากมาร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้เราทุกคนเรียนรู้ที่จะจัดการกับข่าวปลอม ข่าวลวงได้อย่างเท่าทัน ไม่ว่าจะมาปรากฏตัวในรูปแบบใดก็ตาม
ข้อมูลอ้างอิง
- http://dspace.bu.ac.th/bitstream/123456789/4591/3/gunthap_lert.pdf
- https://blog.cofact.org/
- www.hfocus.org/content/2020/07/19722
- www.prachachat.net/public-relations/news-813384
- www.thaimediafund.or.th/wp-content/uploads/2021/04/Fake_News_Ebook-AW.pdf