กระจกเกรียบ วิทยาศาสตร์แห่งรัตนโกสินทร์

14 กุมภาพันธ์ 2024
|
2369 อ่านข่าวนี้
|
10

            กระจกเกรียบ เป็นวัสดุเลื่อมพรายแสงที่มนุษย์สรรสร้างมาประดับประดางานศิลปกรรม เพื่อให้เกิดความงามตามอุดมคติ โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะทางด้านเทคนิควิธีการหุงกระจก และวัตถุธาตุตั้งต้น ซึ่งการสร้างสรรค์กระจกเกรียบถือเป็นการเล่นแร่แปรธาตุ (Alchemy) โดยแท้ เพราะเป็นการรวมกันของวิทยาศาสตร์และศิลปะอย่างกลมกลืน

            กระจกเกรียบ แต่เดิม เรียกว่า กระจกหรือ แก้วหุง เป็นวัสดุศาสตร์เพื่อการประดับตกแต่ง ไม่ใช่กระจกจริงๆ เกิดจากการนำดินขาวไปเป็นสารตั้งต้นในการหลอมร่วมกับตะกั่ว โดยเจือโมเลกุลซิลิกาด้วย เมื่อหลอมละลายแล้วจึงเกิดความมลังเมลืองแสง แวววาว และสะท้อนแสงได้ มีเนื้อเกือบใสคล้ายแก้ว แต่ไม่ได้แข็งเหมือนแก้วทั่วไป

            ตามความเชื่อแบบอินทรคติ เมืองสวรรค์ต้องประกอบด้วยแก้ว 7 ประการ มนุษย์จึงได้จำลองเมืองสวรรค์มาไว้บนโลก ด้วยการประดับเพชร พลอย ไว้ในวัดหรือวังก่อน แต่ก็ไม่สามารถประดับได้ทั้งหมด ช่างในสมัยนั้นจึงเริ่มคิดค้นวัสดุศาสตร์เพื่อใช้ทดแทน ซึ่งสืบทอดมายังสมัยรัตนโกสินทร์ และรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่พระอารามวัดและวังจะนิยมประดับด้วยกระจก และในรัชกาลที่ 4 ได้มีการจัดตั้งกรมช่างหุงกระจก ซึ่งยังคงจำกัดใช้ในวงเจ้านายเท่านั้น จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคสมัยที่อิทธิพลจากตะวันตกเริ่มเข้ามา สถาปัตยกรรมเริ่มเป็นแบบตะวันตก การสร้างสถาปัตยกรรมไทยน้อยลง คงไว้แต่บูรณะซ่อมแซมของเก่าเท่านั้น ส่งผลให้การใช้กระจกเกรียบในงานศิลปกรรมไทยลดบทบาทลง เหลือแต่ในครอบครัวช่างท้องถิ่นบางกลุ่ม ที่หวงแหนเก็บรักษาสูตรการหุงกระจกเกรียบไว้ และสิ้นสุดลงในสมัยรัชกาลที่ 7

            จนมาในสมัยรัชกาลที่ 9 ในงานพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.. 2525 ความนิยมเรื่องความเป็นไทยแบบโบราณเริ่มกลับมาอีกครั้ง มีบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญในกรุงรัตนโกสินทร์ มีการนำเข้ากระจกแก้วชนิดบางเข้ามา แต่เป็นกระจกสมัยใหม่ เนื่องจากไม่สามารถหากระจกสีแบบโบราณที่มีความเปราะอย่าง “ข้าวเกรียบ” มาใช้ได้ จึงรื้อฟื้นศาสตร์และศิลป์การหุงกระจกเกรียบโบราณขึ้นอีกครั้ง แล้วใช้คำว่า “กระจกเกรียบ” ด้วยเหตุที่ว่ามีความบางเหมือนข้าวเกรียบ สามารถทำให้บางที่สุดได้ถึง 0.5 มิลลิเมตร (คล้ายแผ่นกระดาษ) 

            องค์ความรู้เดิมในการหุงตะกั่วให้เป็นแก้วจากต้นตระกูล เต๋จ๊ะยา ชาวไทเขิน ที่อพยพมาจากล้านนา ถูกส่งต่อให้แก่ทายาทในตระกูลรุ่นที่ 4 ครูเต๋ รัชพล เต๋จ๊ะยา ผู้นำองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ และศิลปกรรมมาประสานรวมกัน เพื่อสืบทอดการทำกระจกเกรียบ วัสดุศาสตร์ที่มอบความมลังเมลืองแสงแก่วัตถุศิลป์และโบราณสถานเมืองไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ต้องร่วมกันสืบสานรักษาไว้เป็นความภาคภูมิของลูกหลานต่อไป

            ครูเต๋ รัชพล เต๋จ๊ะยา ชาวไทเขิน สกุลลูกหลานของพระยาปราบสงคราม (พญาผาบ) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ล้านนาเกิดความขัดแย้งกับสยาม หลังจากแพ้พ่าย พญาผาบได้ทิ้งลูกหลานไว้ ลูกหลานที่เหลืออยู่ในสยามก็สืบทอดองค์ความรู้การทำกระจกเกรียบ จนสืบทอดมาถึงนายปัน เต๋จ๊ะยา ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ว่ามีองค์ประกอบอยู่ 5 สี ได้แก่ เขียว เหลือง ขาว แดง และคราม ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกของหมื่นพรหมสมพัตสร (นายมี) พระราชเลขาในรัชกาลที่ 3 และนำมาถ่ายทอดสู่ครูเต๋ ในวัย 15 ปี ซึ่งต่อมาครูเต๋ได้เข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ด้านวิทยาศาสตร์เคมี จึงเริ่มนำสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอด กลับมาลองทำ จนกระทั่งสามารถหุงกระจกออกมาได้สำเร็จ ประกอบกับมีความสนใจด้านงานศิลปกรรม ครูเต๋จึงสามารถนำความรู้วิทยาศาสตร์และศิลปกรรมมาใส่ไว้บนชิ้นงานที่ประดับกระจกเกรียบ

            ครูเต๋ถูกเชิญให้มาบูรณะและอนุรักษ์ศิลปกรรมกระจกเกรียบบริเวณชั้นฐานสิงห์ ที่ประดิษฐานพระราชสรีรางคาร ในหลวงรัชกาลที่ 8 ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร อันเป็นจุดเปลี่ยนให้ครูเต๋เข้ามาทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง และเล็งเห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์กระจกเกรียบ ไม่ให้หายไปจากแผ่นดินไทย ต่อมาครูเต๋ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ และนำองค์ความรู้ที่ได้เรียนมาสร้างสรรค์งานประดับกระจกเกรียบเพื่อการอนุรักษ์และบูรณะให้งดงามเหมือนของเดิมมากที่สุด


            ในปัจจุบันครูเต๋ ยังคงรับราชการครูและยังคงสืบสานการทำกระจกเกรียบอยู่ ผลงานการฟื้นฟูและอนุรักษ์กระจกเกรียบโบราณของครูเต๋ เป็นที่ยอมรับในฝีมือ โดยเฉพาะด้านความงามตามแบบโบราณ

            ครูเต๋มีความตั้งใจที่จะสืบทอดองค์ความรู้ด้านการทำกระจกเกรียบ ด้วยการฟื้นฟูองค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรม ในอดีตมาเป็นต้นแบบ และยึดขั้นตอนการทำแบบดั้งเดิม เพื่อผลิตขึ้นมาใหม่ และนำองค์ความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดให้แก่ชุมชนและสถานศึกษา โดยเริ่มต้นสอนจากการประดับกระจกเกรียบ บนงานไทยประยุกต์ ฟูมฟักให้เกิดความชอบและความสนใจในงานกระจกเกรียบ ให้พวกเขากลับเข้าหางานไทยแบบดั้งเดิมด้วยความชอบของตนเอง เพื่อให้เกิดการต่อยอดและสร้างสรรค์งานศิลปกรรมไทย

            ติดตามกระจกเกรียบ วิทยาศาสตร์แห่งรัตนโกสินทร์ โดยครูเต๋ รัชพล เต๋จ๊ะยาได้ที่

https://fb.watch/qb-H7eEzpl/

https://www.youtube.com/watch?v=0ABJ0wO8uOQ&t=36s

 

 

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI