ภูเขาไฟฟูจิในวันที่หิมะมาช้าในรอบ 130 ปี
ภาพภูเขาไฟฟูจิที่ไม่มีหิมะปกคลุม ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเรารู้จักฤดูกาลของญี่ปุ่นดีทั้ง 4 ฤดูกาล แต่รู้หรือไม่ว่าการไม่พบหิมะปกคลุมตามเวลานัดประจำปี พ.ศ. 2567 หรือในรอบ 130 ปี ได้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลเป็นอย่างมาก ว่าปรากฏการณ์นี้อาจจะเป็นสัญญาณโลกร้อนที่เริ่มคืบคลานมาถึงภูเขาไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของแดนอาทิตย์อุทัย
หิมะภูเขาไฟฟูจิแค่มาช้า (แต่มาแล้ว) ทำไมต้องตื่นเต้น กลายเป็นประเด็นใหญ่
ทุกสำนักข่าวชื่อดังกล่าวถึงปรากฏการณ์ดังกล่าว รวมถึงบทความ No-snow record for Japan’s Mount Fuji, and other nature and climate stories you need to read this week โดยสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ที่ได้อธิบายว่า โดยปกติแล้วภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นอย่างภูเขาไฟฟูจิ จะมีหิมะปกคลุมภายในต้นเดือนตุลาคมของทุกปี แต่ใน พ.ศ. 2567 ภาพยอดภูเขาไฟที่ไม่มีหิมะได้ทำให้นักท่องเที่ยว และนักวิจัยที่สังเกตการณ์ด้านสภาพอากาศรอยาวนานกว่าครั้งไหนๆ และนับได้ว่านานที่สุดจากการบันทึกตลอด 130 ปี ซึ่งโดยเฉลี่ยจะมีหิมะปกคลุมบนยอดภูเขาไฟในวันที่ 2 ตุลาคมของทุกปี ก่อนจะเลื่อนมาเป็นวันที่ 5 ตุลาคมเมื่อ พ.ศ. 2566 และช้าลงอีกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ตามลำดับ
ความล่าช้าราว 1 เดือนนี้เนื่องมาจากอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้น ทำให้นักพยากรณ์ท้องถิ่นคาดการณ์ว่าใน พ.ศ. 2567 หิมะแรกบนภูเขา อาจจะสังเกตเห็นได้ในเช้าวันที่ 7 พฤศจิกายน (การคาดการณ์ในช่วงเวลาวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่เผยแพร่บทความ) ทั้งยังจำเป็นต้องให้หอสังเกตการณ์สภาพอากาศในภูมิภาคโคฟุ ในจังหวัดยามานาชิ ทางตอนเหนือของภูเขาไฟฟูจิช่วยยืนยันอย่างเป็นทางการ เพราะการที่จะประกาศเกี่ยวกับหิมะปกคลุมครั้งแรกของฤดูกาล จะสามารถทำได้ต่อเมื่อคนงานในหอดูดาวแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากยอดเขาประมาณ 30 กิโลเมตรยืนยันด้วยสายตาแล้วเท่านั้น ตามข้อมูลจากบทความ Snow seen on Mt.Fuji but local observatory yet to confirm season's first snowcap โดย NHK World Japan
UN เตือน “วิกฤตสภาพภูมิอากาศ มาถึงแล้ว”
ก่อนที่หิมะบนยอดเขาจะมาช้าและไม่ตรงตามฤดูชัดเจนขึ้น ทางสหประชาชาติ หรือ UN ได้เคยประกาศเตือนถึงหายนะที่จะมาเยือนประเทศต่างๆ ในรูปแบบที่แตกต่างกันก่อนหน้านี้ ทั้งยังย้ำว่า "ประเทศต่างๆ จะต้องเริ่มควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทันที" เพราะจากสถิติ ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ต่อปี ตามรายงานช่องว่างการปล่อยก๊าซของสหประชาชาติ ที่ประเทศต่างๆ มีกำหนดจะประกาศข้อผูกพันด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2568
“วิกฤติสภาพภูมิอากาศมาถึงแล้ว” อิงเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการบริหาร โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNEP กล่าวเตือนว่าเป้าหมายของข้อตกลงปารีสในการควบคุมอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นที่ 1.5°C ตกอยู่ในความเสี่ยงร้ายแรง และจากการวิเคราะห์ของสหประชาชาติแสดงให้เห็นว่าแผนระดับชาติในปัจจุบันเพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนแทบจะไม่สามารถลดมลพิษได้ตามแผน ภายใน พ.ศ. 2573 ตามรายงานของ BBC
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าการไม่มีหิมะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดระดับโลก เกี่ยวข้องกับผลกระทบของอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น ทำให้มีผลต่อหิมะและน้ำ ที่จะส่งผลกระทบไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วไป การท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไปจนถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
มากกว่านั้นญี่ปุ่นยังมีฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมาติดต่อกัน 2 ปี โดยอุณหภูมิจะอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงฤดูใบไม้ร่วง ผกผันตามระยะเวลา และเมื่อประกอบกับผลการศึกษาล่าสุด ทำให้พบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุของการขาดแคลนหิมะในซีกโลกเหนือในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในขณะที่ผู้คนสนใจประเด็น “หิมะที่หายไป” บนปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ ในเวลานั้นเอง ระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม.-1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ยังเป็นช่วงเวลาของ COP16 การประชุมความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติประจำ ค.ศ. 2024 ในเมืองคาลี ของประเทศโคลอมโบ โดยมีผู้แทนกว่า 15,000 คนจากกว่า 190 ชาติ มาประชุมร่วมกัน ในธีม "Peace with Nature" ที่เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่ส่งผลต่อชะตากรรมของประชากรสัตว์ป่าของโลก และพืชพรรณ ที่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ตามรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ไทยรัฐออนไลน์ ทั้งยังนับเป็นครั้งแรกที่นานาประเทศมาพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับโลกในแง่มุมความหลากหลายทางชีวภาพ นับตั้งแต่ข้อตกลง คุนหมิง-มอนทรีออลใน ค.ศ. 2022 ที่มีกรอบซึ่งมุ่งหมาย จะหยุดยั้งและย้อนกลับการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพภายใน ค.ศ. 2030 เพื่อบรรเทาวิกฤตและก้าวสู่ความยั่งยืน
#โลกร้อน #โลกเดือด #ภูเขาไฟฟูจิ #ญี่ปุ่น #ความยั่งยืน #Fujisan #GlobalBoiling #GlobalWarming #Sustainability #KnowledgePortal #กระตุกต่อมคิด #OKMD
• ข้อมูลอ้างอิง : www.weforum.org, www..nhk.or.jp, thestandard.co และ www.thairath.co.th

