กลิ่นของเทศกาลปีใหม่: การเดินทางผ่านความทรงจำและแนวคิดความยั่งยืน
เทศกาลปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขและความทรงจำที่อบอุ่น นอกจากเสียงเพลง การตกแต่งที่สวยงาม และธรรมเนียมประเพณีที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมแล้ว "กลิ่น" ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยปลุกความทรงจำของผู้คนในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมสะอาดของหิมะในประเทศที่ปกคลุมด้วยฤดูหนาว หรือกลิ่นต้นสนสดที่แต่งแต้มบ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ความผูกพันกับกลิ่นเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความทรงจำส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและแนวคิดด้านความยั่งยืนที่กำลังเป็นที่สนใจ
บทความนี้จะพาไปสำรวจกลิ่นของเทศกาลปีใหม่ ผ่านมุมมองของสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความยั่งยืน พร้อมสำรวจว่ากลิ่นเหล่านี้สามารถบอกเล่าความเป็นตัวตนของเทศกาลและสร้างแรงบันดาลใจให้เราเริ่มต้นปีใหม่ด้วยมุมมองใหม่อย่างไร
กลิ่นหิมะและกลิ่นต้นสนบนแนวคิดความยั่งยืน
ในแต่ละเทศกาลนอกจากจะมีเพลง การตกแต่ง ธรรมเนียมหรือการจัดงานเฉลิมฉลองเป็นสัญลักษณ์แล้ว ยังมีกลิ่นที่เป็นทั้งความทรงจำและสัญลักษณ์ของเทศกาล เช่นเดียวกับตั้งแต่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ต่อเนื่องมาจนถึงเทศกาลปีใหม่ ผู้คนในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมีกลิ่นเทศกาลปีใหม่ของตนให้จดจำในรูปแบบที่แตกต่าง โดยเฉพาะผู้คนในประเทศที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในช่วงเทศกาลในขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ มีความทรงจำเกี่ยวกับกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป
กลิ่นของหิมะและฤดูหนาว
แม้ว่าในทางวิทยาศาสตร์หิมะจะเป็นเพียงน้ำแข็งธรรมดา ที่ไม่มีกลิ่น แต่ผู้คนโดยเฉพาะประเทศที่มีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาวกล่าวว่าแท้จริงแล้ว หิมะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ให้ความรู้สึกหอมสะอาด สดชื่น ไม่เหมือนฤดูไหน โดยเมื่อหิมะเริ่มตกและปกคลุมพื้นดิน อากาศจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนนึกถึงความสดชื่นและความบริสุทธิ์ที่น่าประทับใจ และเมื่อเวลาผ่านไปกลิ่นของสิ่งแวดล้อมรอบๆ จะเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญทั้งกลิ่นของธรรมชาติและกลิ่นจากกิจกรรมของมนุษย์ที่อยู่รอบตัว เช่น กลิ่นของป่าละแวกบ้าน กลิ่นของเตาผิงและปล่องไฟ กลิ่นอาหารจากเตาอบ เป็นเหตุผลที่ทำให้กลิ่นหิมะในมหานครนิวยอร์กแตกต่างออกไปจากกลิ่นหิมะของรัฐเมน เมืองวิวทะเลและซีฟู้ดที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของสหรัฐอเมริกา และเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคที่ต่างไป
ขณะเดียวกันข้อมูลจาก The Washington Post ได้กล่าวว่าในยุคที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและมีมลภาวะเพิ่มมากขึ้น กลิ่นของหิมะสามารถเปลี่ยนแปลงและอาจเป็นสัญญาณอันตรายได้ เนื่องจากเกล็ดหิมะสามารถดูดซับสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น มลพิษจากไอเสียของเครื่องยนต์ สารปนเปื้อนที่ในอากาศ รวมถึงไมโครพลาสติก ปัญหาที่น่ากังวลใจ ทั้งนี้บรรยากาศที่อุ่นขึ้นจะทำให้กลิ่นเหล่านั้นเข้มข้นขึ้น นำไปสู่ความตระหนักที่จะลงมือแก้ไขปัญหาในมุมมองความยั่งยืน เพื่อให้หิมะกลับมาเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ สดชื่น ความสุขและความปลอดภัย
กลิ่นธรรมชาติจากต้นสนและพืชประดับ
history.com ได้ให้ข้อมูลความรู้ว่าในศตวรรษที่ 16 ประเทศเยอรมนีได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้ริเริ่มประเพณีต้นคริสต์มาส ในขณะที่ realchristmastrees.org จาก National Christmas Tree Association ได้ให้ข้อมูลว่าใน ค.ศ. 1510 เป็นปีที่มีการบันทึกเกี่ยวกับต้นคริสต์มาสที่ได้รับการตกแต่งจากเมืองริกา ประเทศลัตเวีย เป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในยุโรปไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามกลิ่นจากต้นสนสดที่ตัดมาแต่งห้องโถง ได้กลายมาเป็นกลิ่นในความทรงจำของผู้คนและเป็นสัญลักษณ์การรวมตัวของครอบครัว เพื่อชาร์จพลังก่อนเริ่มต้นคริสตศักราชใหม่ ที่ต่อมาปรากฏเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในภาพยนตร์ ซีรีส์ และมิวสิกวิดีโอ โดยเฉพาะในฝั่งอเมริกา (สามารถเจาะจงได้ว่าจาก “ฝั่งฮอลลีวูด”) โดยว่ากันว่าในศตวรรษที่ 18 ต้นคริสต์มาสถูกนำเข้ามาในสหรัฐอเมริกาโดยผู้ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมัน จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ก่อนเริ่มนำมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์โดยการตัดมาจากป่า ค่อยๆ ขยายเป็นอุตสาหกรรม เกิดเป็นฟาร์มและตลาดขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันในวัฒนธรรมตะวันตกหลายครอบครัวยังคงตกแต่งบ้านด้วยต้นสนสดหรือต้นสนจริง ด้วยเรื่องราวและสิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา มากไปกว่านั้นคือกลิ่นของต้นสนที่มีเสน่ห์เฉพาะ (ปัจจุบันกลิ่นนี้ยังเกี่ยวข้องกับการบำบัดร่างกายและอารมณ์ด้วย Forest Bathing หรือการอาบป่า) ผู้คนหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยนำเข้าต้นสดในช่วงเทศกาล ขณะที่หลายครอบครัวเลิกให้ความสำคัญกับแนวคิดยั่งยืน ความสะดวก รวมถึงช่วยลดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน นำไปสู่การใช้ต้นคริสต์มาสประดิษฐ์ที่สามารถใช้ได้หลายครั้ง หรือเลือกตกแต่งด้วยหน้าจอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ในบ้าน แล้วนำกลิ่นน้ำหอมสังเคราะห์ที่ให้กลิ่นของต้นสนและพืชไม้ประดับมาใช้งานเพื่อทดแทนต้นจริง เป็นอีกทางเลือกของการฉลองบนแนวคิดความยั่งยืน
แม้ว่าจะผ่านพ้นเทศกาลคริสต์มาสก้าวสู่เทศกาลปีใหม่ ผู้คนยังจดจำทั้ง 2 กลิ่นนี้ที่เป็นทั้งสัญลักษณ์ทั้งของความอบอุ่นและการเริ่มต้นได้ไม่ลืม เพื่อเตรียมความพร้อมกับทุกโอกาสในคริสตศักราชถัดไป
#Scent #NewYear #Sustainability #Softpower #Economy #ซอฟต์พาวเวอร์ #เศรษฐกิจ #ความยั่งยืน #KnowledgePortal #กระตุกต่อมคิด #OKMD
• ข้อมูลอ้างอิง : www.washingtonpost.com, www.history.com, realchristmastrees.org, www.scienceofessentials.com และfinlandnaturally.com