เจาะลึก 5 สุดยอดไอเดียจาก Learn Lab 2025 : Creativity Beyond AI
กว่า 600 คน หรือ 170 ทีม คือผู้เข้าร่วมการแข่งขัน Learn Lab 2025: Creativity Beyond AI ในยุคการเติบโตที่มากกว่าก้าวกระโดดของเทคโนโลยี โดยจากวันแรกจนถึงวันนำเสนอผลงาน 15 มีนาคม พ.ศ. 2568 OKMD ขอนำเสนอและเจาะลึก 5 ไอเดียสุดเจ๋งจากผู้ชนะ 5 ทีม ภายใต้ความมุ่งมั่นก้าวสู่ “มหานครแห่ง AI”
โดย 5 ทีมที่กล่าวถึงเป็นส่วนหนึ่งจาก 40 ทีมผู้เข้ารอบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหลากหลาย ได้แก่ ความงามและการดูแลสุขภาพ การก่อสร้าง การพัฒนาตัวเอง ดนตรีและศิลปะ อสังหาริมทรัพย์ สิ่งแวดล้อม การเกษตร การศึกษา ความยั่งยืน การเงิน การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการออกแบบและแฟชั่น ไปจนถึงความเชื่อที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้เช่นกัน
1. “แพลตฟอร์มเพื่อให้ผู้พิการทางการได้ยินเรียนรู้โลกมากขึ้นอย่างเท่าเทียม” ทีม Family Deaf
ย้อนไปช่วงหลังสถานการณ์โควิด 19 คุณพรยุทธ เม่นมุกดา CEO และ CTO ของ Family Deaf (ที่ทำงานเป็น Project Manager เว็บไซต์และงานออนไลน์มากว่า 10 ปี) ได้เห็นโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกันของผู้พิการในการหารายได้ ทำให้อาสาไปช่วยคิดโครงการสร้างอาชีพผลิตสินค้าจากสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว นำมาออกแบบใหม่ให้ขายได้ หลังหักต้นทุนและค่าแรงผู้พิการ ได้นำกำไรส่วนหนึ่งมาเป็นกองทุนมาพัฒนาแอปพลิเคชันสอนภาษามือสากล เนื่องจากผู้พิการทางการได้ยินหลายกลุ่มใช้ภาษามือธรรมชาติที่สร้างขึ้นเองทำให้เป็นอุปสรรคในการสื่อสารในการทำงาน รวมถึงสื่อต่างๆ ที่ปัจจุบันมีจำนวนมาก แต่ผู้พิการต่างยังคงถูกปิดกั้น
ทำให้เกิดความมุ่งมั่นพัฒนา Family Deaf แพลตฟอร์มการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีด้วย 3D Animation และ AI เพื่อช่วยเหลือผู้พิการโดยนำ AI Technology และ 3D Animation มาปรับใช้เพื่อช่วยเหลือการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือที่ง่ายขึ้น สามารถหมุนดูท่ามือได้ 180 องศา และด้วยเทคโนโลยีที่แปลกใหม่นี้ช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับผู้พิการ และยังได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ในทีมมากกว่า 6 ประเทศ ทั้งที่ปรึกษา และทีม Developer, 3D Animation รวมถึงทักษะด้าน AI และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านภาษามือระดับอาจารย์จากต่างประเทศร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนา จึงเกิดเป็น 3 ฟีเจอร์ ได้แก่ “D-Translate” ระบบ AI แปลเสียงพูดให้เป็นภาษามือเพื่อช่วยผู้พิการในการฟัง “D-Speech” ระบบ AI เพื่อช่วยออกเสียงแทนผู้พิการที่รองรับถึง 45 ภาษา “D-Skill ระบบ AI ช่วยเหลือฝึกการสะกดนิ้ว สู่การพัฒนา “D-TV เพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้ตามเป้าหมายเพื่อเพิ่มมิติใหม่ แนวคิดใหม่ในการเรียนรู้ให้กับผู้พิการทางการได้ยินที่กว้าง และไร้ขีดจำกัด
พ.ศ. 2567 เริ่มพัฒนาในแนวทางธุรกิจเพื่อสังคม ทั้งให้ใช้ฟรี (Freemium) และเก็บค่าบริการ (Premium) ปีละ 1,000 บาท ซึ่งปัจจุบันมีผู้พิการทางการได้ยินทั่วโลกราว 70 ล้านคน เป็นสมาชิก 8,500 คน มีการใช้งานที่ทั่วโลกที่ไม่ได้เป็นสมาชิกวันละ 8 แสนครั้ง และทยอยเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งยังได้จดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรระบบต่างๆ แล้วกว่า 40 ประเทศในเวลานี้
ด้วยความสามารถแก้ปัญหาตรงจุด นำ AI มาปรับใช้อย่างทันสมัยล้ำหน้ากว่าคู่แข่งจากหลายประเทศชั้นนำ อีกทั้งมีทีมที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาทักษะผู้พิการ ลดความเหลื่อมล้ำ จึงทำให้ Family Deaf ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 พร้อมเงินรางวัลจำนวน 100,000 บาท ในการนำเสนอไอเดียในการแข่งขัน Learn Lab 2025 : Creativity Beyond AI
2. “เพิ่มมูลค่าสินค้าแฟชั่น กระตุ้นพลังชอฟต์พาวเวอร์ไทย” ทีม Motif Move
ทีมที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนิสิตต่างคณะ ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ ไม่เพียงเห็นโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมการออกแบบและแฟชั่น แต่มีความตั้งใจหลักเพื่อผลักดันให้คนไทยได้มีที่ยืนในอุตสาหกรรมแฟชั่นในระดับโลก Motif Move จึงคิดไอเดียนี้ขึ้นมา ซึ่งกล่าวได้ว่าสามารถนำไปสู่การพัฒนาเพื่อช่วยกระตุ้นพลังชอฟต์พาวเวอร์ไทย
โดยเริ่มต้นจากระดับท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยการสร้างแพลตฟอร์มช่วยออกแบบเสื้อผ้าที่ทําหน้าที่เสมือน Co-designer สนับสนุนการออกแบบด้วย AI วิเคราะห์ข้อมูลที่แนะนําเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับแบบเสื้อ (Pattern) พร้อมกับฟีเจอร์ตัวกลางสนับสนุนการขายแบบเสื้อระหว่างห้องเสื้อและผู้ออกแบบ เพื่อช่วยให้ผู้ที่สนใจงานออกแบบเสื้อผ้ามีรายได้ และสร้างความหลากหลายในวงการแฟชั่นท้องถิ่นของประเทศไทย ทั้งยังมีหนึ่งในสมาชิกเป็นคนจังหวัดน่านที่ทำให้มีข้อมูลพื้นฐาน เห็นโอกาสที่น่าสนใจในการพัฒนาไอเดีย
ประกอบกับปัจจุบันมูลค่าของวงการแฟชั่นไทยกำลังอยู่ในแนวโน้มที่ลดลง ขณะที่เสื้อผ้า Tailor-Made กำลังอยู่ในเทรนด์ที่โดดเด่น แต่พบปัญหาคือคนทำงานที่เกี่ยวกับโครงการยังขาดทักษะการออกแบบ และสร้างขยะค่อนข้างมากในการทำงาน ทั้งยังพบว่า 50% ของ OTOP ในจังหวัดน่าน เมื่อนำแนวคิดนี้ใส่เข้าไปในงาน ทำให้เพิ่มมูลค่าให้เสื้อผ้าได้ถึง 6 เท่าจากเดิม
สำหรับรูปแบบที่ใช้คือการนำ AI เข้ามาช่วย โดยผู้ใช้เพียงแค่ Upload ข้อมูลอ้างอิงเข้าไปในโปรแกรม AI เพื่อวิเคราะห์ดูว่าดีไซน์นี้ควรใช้แพทเทิร์นแบบใด โดยมี 3 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่ "AI Pattern Generation" "Garment Recognition" และ "Fabric Optimization" เพื่อใช้เพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่โดดเด่นให้กับไทย
การสร้างรายได้ทำได้โดย Subscript Model ที่จะได้รับการจ่ายผ่าน Line OA และ Go-to-Market โดยเน้นที่จังหวัดน่าน ก่อนตามด้วย OTOP ในเขตอื่นๆ ต่อไป ส่วนในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน Motif Move มุ่งเน้นเริ่มต้นในชุมชนขนาดเล็กและธุรกิจขนาดย่อยเพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่งให้กับชุมชน
จากเหตุผลทั้งหมดทำให้ทีม Motif Move ได้รับได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาแพลตฟอร์มต่อไป
3. “มองเพลงเป็นภาพ โอกาสที่ต่อยอดจาก AI ในสายดนตรี” ทีม Synesthesia
อุตสาหกรรมดนตรีและศิลปะกับ AI เป็นเรื่องเดียวกันได้ เช่นเดียวกับที่ทีม Synesthesia ที่ประกอบด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยและคนวัยทำงานรวม 5 คน ที่มีความสามารถหลากหลายทั้งด้านกราฟฟิก ดนตรี วิทยาการข้อมูล และ AI ที่รู้จักกันผ่านโครงการ Super AI Engineer โครงการอบรมเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ ได้พัฒนาเทคโนโลยี AI ล้ำสมัยที่สามารถวิเคราะห์และตีความอารมณ์รวมถึงความหมายของเพลงให้อยู่ในรูปแบบ Visual Graphics ที่สอดคล้องกับจังหวะดนตรีอย่างลงตัว ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยประหยัดเวลา และอาจเป็นไอเดียเริ่มต้นสำหรับการสร้างงานกราฟิก เพิ่มความสามารถรับรู้ให้มากขึ้น ด้วยแนวคิดที่ว่า “ดนตรีมีพลังเหลือล้น แต่น่าเสียดายที่ถูกจำกัดอยู่ที่โสตประสาทของเราเท่านั้น”
ทีมได้แบ่งแผนงานที่ชัดเจนออกเป็น 3 ช่วงเวลา ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 เน้นสร้างรายได้จาก Live Music Event เพื่อให้ธุรกิจเริ่มต้นมีรายได้อย่างรวดเร็ว และสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน ช่วงที่ 2 ทำให้เกิดการเพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจ
ด้วยการผสมผสานส่วนของการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกันกับ Content Creators และช่วงที่ 3 เพิ่มแนวทางการใช้ประโยชน์ร่วมในด้านดนตรีบำบัด และศิลปะการจัดวาง
นอกจากนี้จากการสำรวจ ข้อมูลในปี 2023 ระบุว่าอุตสาหกรรม Music Visualization Software มีมูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง Synesthesia มีโอกาสเติบโตในตลาด โดยใช้โมเดลธุรกิจแบบ Subscription Model ทั้งในรูปแบบเก็บค่าบริการ (Premium) และให้ใช้บริการฟรี (Freemium) นอกจากนี้ทีมยังมีแผนพัฒนา API (Application Programming Interface) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถนำเทคโนโลยีไปต่อยอดได้จริง และเมื่อเปรียบเทียบกับซอฟต์แวร์ที่อยู่ในตลาดส่วนใหญ่ Synesthesia นับเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจในแง่ ใช้งานง่าย รวดเร็ว และยืดหยุ่น สามารถเป็นหนึ่งทางเลือกในอุตสาหกรรม
ด้วยเหตุผลที่โดดเด่นทำให้ทีม Synesthesia ได้รับเลือกให้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 มูลค่า 30,000 บาท ในฐานะทีมจากอุตสาหกรรมดนตรีและศิลปะที่ใช้ประโยชน์จากความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI
4. “เกมฝึกทักษะและสร้างชุมชนดนตรีที่ติดอาวุธด้วย AI” ทีม NoteBattle
ทีมที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 และเริ่มเข้าร่วมการแข่งขันโครงการต่างๆ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ เมื่อทางทีมได้ทราบข่าวเกี่ยวกับ Learn Lab 2025 โครงการมหกรรมงานรวมไอเดียพิชิต AI ในธีม Creativity Beyond AI และได้สังเกตเห็น Track ที่หาได้ยากจากโครงการอื่นๆ คือการเปิดกว้างสำหรับอุตสาหกรรมศิลปะและดนตรี ซึ่งเป็นศาสตร์ที่สมาชิกในทีมให้ความสนใจเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจร่วมกันระดมความคิด สร้างโปรเจกต์ภายใต้ชื่อ NoteBattle เกมที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถฝึกฝนดนตรีร่วมกับผู้อื่นผ่านการแข่งขันของเกมได้ ทั้งยังนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบที่จะสามารถช่วยตรวจสอบข้อผิดพลาด พร้อมทั้งให้คำแนะนำกับผู้เล่น
ทางทีมได้สำรวจและพบว่า 1 ใน 5 ของนักดนตรีทั่วประเทศมักจะประสบปัญหาไม่มีเพื่อน ไม่มีวง หรือแม้กระทั่งไม่มีคนที่คอยสอนเกี่ยวกับดนตรี จึงเล็งเห็นถึงโอกาสที่ดีที่จะได้พัฒนาทักษะและสร้างชุมชนดนตรีในรูปแบบของเกมที่มี AI เข้ามาสนับสนุนโดยมีแนวคิดว่าจะให้นักดนตรี 2 คนจับคู่แข่งขันกัน พร้อมทั้งจับ Error Detection ด้วย AI เพื่อประมวลผลเทียบเสียงที่ได้รับมาจากผู้เล่นกับเสียงของตัวเพลงต้นฉบับ และไม่ใช่เพียงแค่เสียงเท่านั้น แต่ยังตรวจจับแม้กระทั่ง Pitch, Dynamic และ Rhythm ได้ ก่อนจะออกมาเป็นคะแนนพร้อมทั้งคำแนะนำจาก AI ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้เล่น
สำหรับวิธีการสร้างรายได้ของ NoteBattle มีหลากหลายช่องทางด้วยกัน ได้แก่ Subscription และ In-App Purchase โดยเพลงที่ผู้เล่นได้รับในช่วงแรกของเกมจะเป็นเพลงโหมดหมดลิขสิทธิ์ไปแล้วเป็นส่วนมาก ส่วนเพลงที่ยังมีลิขสิทธิ์อยู่นั้น จะต้องจ่ายในรูปแบบของ Subscription แต่หากเป็นเพลงใหม่ เพลงดัง และยังไม่หมดลิขสิทธิ์จะสามารถซื้อได้ที่ร้านค้าหรือ In-App Purchase ช่องทางที่ 2 คือ Tournament การจัดการแข่งขันบนแพลตฟอร์ม NoteBattle โดยจะชวนค่ายเพลงต่างๆ มาเป็นกรรมการ ซึ่งทั้งกรรมการและผู้เข้าแข่งขันจะได้ประโยชน์ร่วมกันโดยทางค่ายเพลงอาจค้นพบนักดนตรีที่มีความสามารถจากการแข่งขันที่จัดขึ้น และช่องทางสุดท้ายสำหรับการสร้างรายได้คือ Licensing การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการใช้เกม ให้กับองค์กรหรือโรงเรียนดนตรีที่ต้องการพัฒนาบุคคลให้มีทักษะทางด้านดนตรี ที่ในอนาคต NoteBattle ต้องการพัฒนาตนเองให้เป็น Music Global Hub ที่จะรวมนักดนตรีทุกคนและสร้างคอนเน็กชันนักดนตรีที่เข้มแข็งตามความตั้งใจของทีม
ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความสนุก และโอกาสที่มีแนวโน้มพัฒนาต่อไปได้ จึงทำให้ทีม NoteBattle ได้รับรางวัลชมเชย มูลค่า 10,000 บาท ในฐานะทีมเข้าร่วมแข่งที่มีแนวคิดสนับสนุนอุตสาหกรรมศิลปะและดนตรี
5.“เปลี่ยนขยะให้มีมูลค่า สนับสนุน Circular Economy” ทีม Greentify
Greentify เกิดจากการรวมตัวของเพื่อนมัธยมศึกษาตอนปลาย 5 คนจากต่างโรงเรียนไปจนถึงต่างภาค จากการพบกันในการแข่งขันในโครงการรูปแบบ Hackathon เพื่อพัฒนานวัตกรรม ต่อยอดความรู้ใหม่ จนมาถึงในการแข่งขันโครงการ Learn Lab 2025 จึงเกิดการระดมสมองคิดแอปพลิเคชัน Waste Management System ขึ้น เพื่อช่วยแยกขยะตั้งแต่ต้นทางโดยระบบ AI Scanner จากภาพถ่ายบ่อขยะ เพื่อช่วยคัดแยกและนําไปสู่การติดตามและจัดการขยะต่อไป ตั้งแต่การเรียกรถมารับ ไปสู่การสร้างรายได้ให้ผู้รับขยะจากการขายให้แก่โรงงาน เพื่อช่วยแก้ปัญหาขยะในพื้นที่ที่เทศบาลที่ไม่สามารถทำได้อย่างครอบคลุม
ตั้งต้นจากประสบการณ์ของสมาชิกในทีมที่ทั้งแยกขยะและไม่แยกขยะมาก่อน สำรวจงานวิจัยของทั้งภาครัฐและเอกชน ศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วเพื่อให้ต่อยอดง่ายขึ้น ตามขีดจำกัดของทีม โดยมีกลยุทธ์ที่เลือกนำมาใช้ 3 กลยุทธ์คือ กลยุทธ์ที่ 1 Trash to Cash เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นเงินด้วยระบบ Subscription หรือการสมัครสมาชิกรายเดือน ที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาค่าบริการเก็บขยะที่ต้องจ่ายภาครัฐอยู่แล้ว โดยลูกบ้านจะได้ 50% ผู้ขนส่งขยะ (Rider) 30% และเจ้าของบริษัท 20%
กลยุทธ์ที่ 2 Green Point Challenge ตัวกระตุ้นให้คนมาแยกขยะมากขึ้นและเมื่อแยกแล้วจะได้รับ Green Credits ที่จะถูกโอนเข้าไปในแอปพลิเคชัน สามารถใช้เป็นส่วนลด แลกของสมนาคุณ รางวัล มี Partnership โดยที่ Greenify อาจไปทำงานร่วมกัน เช่น จัดการแข่งขันระหว่างบ้าน หมู่บ้าน ในมุมที่กว้างขึ้น และกลยุทธ์ที่ 3 คือ Pick Up and Drop Off ที่เริ่มต้นด้วยการใช้ AI สแกนวิเคราะห์ขยะและแจ้งว่าควรจัดการกับขยะชิ้นนี้อย่างไรให้ถูกจุด ก่อนใช้บริการรับส่งแบบ On Demand โดยหวังว่าสามารถนำไปปรับใช้กับบริษัท ทีมอาสาด้านปัญหาขยะ โรงเรียน โรงแรม ที่พักอาศัย ที่ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้
จากประโยชน์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ พร้อมการนำ AI มาใช้ ทำให้ทีม Greentify ได้รับรางวัลชมเชย มูลค่า 10,000 บาท ในฐานะทีมที่สนับสนุน Circular Economy ในอุตสาหกรรมด้านความยั่งยืน
ไม่เพียงจาก 5 ไอเดียที่นำเสนอข้างต้นนี้ แต่รวมถึงไอเดียจากผู้ร่วมเข้าแข่งขันทุกทีมใน Learn Lab 2025 : Creativity Beyond AI ในโครงการ Learn Lab 2024 : Mega Trend Meta Learning ภายใต้โครงการมหานครแห่งการเรียนรู้ผ่าน AI โดย OKMD ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรศาสตร์และ Alpha+ sandbox ที่สามารถนำไปต่อยอด พัฒนาให้เกิดประโยชน์
จึงกล่าวได้ว่าน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นการคิดพัฒนาแพลตฟอร์มและนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการพัฒนาธุรกิจและแนวคิดที่นำไปสู่ประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรมและสังคม สามารถนำไปสู่การต่อยอดความรู้ พัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในยุคเทคโนโลยี AI
#Learnlab2025 #Startup #AI #alphaplussandbox #sandbox #Equality #Inclusive #Fashion #Music #Art #Sustainability #SoftPower #ความเท่าเทียม #แฟชั่น #ดนตรี #ศิลปะ #เกม #ความยั่งยืน #KnowledgePortal #กระตุกต่อมคิด #OKMD

