ไซบอร์กแห่งปี 2025

27 มิถุนายน 2025
|
1 อ่านข่าวนี้
|
1


หลายคนคงเคยดูหนังแนว Sci-fi ที่มีการรวมร่างกันระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์หรือที่เรียกว่า ไซบอร์ก (Cyborg) เป็นตัวเอก อย่างเรื่อง The Terminator แต่รู้หรือไม่ว่า ไซบอร์กไม่ได้มีอยู่แค่ในหนัง แต่ในความเป็นจริงเราก็เป็นไซบอร์กมาระยะหนึ่งแล้ว

หลายคนอาจยึดติดภาพจำเก่าๆ ว่า Cyborg จะต้องมีการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียว ตัวอย่างเช่น โปรเจ็ก Neuralink ของ Elon Musk ที่ฝังชิปเข้าไปในกะโหลกของมนุษย์ เพื่อช่วยในการรักษาอาการทางระบบประสาทและสมอง แต่ Cyborg ไม่จำเป็นต้องมีการรวมกันระว่างกายชีวภาพและเครื่องจักรเท่านั้น การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรอย่างผสมผสานก็อาจมองว่าเป็นไซบอร์กยุคใหม่ได้เช่นกัน


Cyborg, Exo-Memory และ Exo-Cortex

ทุกวันนี้ผู้คนใช้โทรศัพท์มือถือในการเก็บข้อมูลความทรงจำต่างๆ อย่างเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ภาพถ่าย บางคนเก็บไว้ในระบบคลาวด์ที่เชื่อมต่อและเข้าถึงได้จากอุปกรณ์ที่หลากหลาย ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือเครื่องคอมพิวเตอร์

การเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องจักร มีสิ่งที่เรียกว่า ‘Exo-Memory’ หรือความจำนอกร่างกาย ซึ่งหมายถึงการถ่ายโอนหน่วยเก็บข้อมูล แทนที่จะเก็บไว้ในสมองของเราที่เป็นอวัยวะทางชีวภาพ ก็ถ่ายโอนย้ายมาเก็บไว้ที่อุปกรณ์ภายนอกที่แทบจะเป็นอวัยวะที่ 33 ซึ่งก็คือโทรศัพท์มือถือ

สิบกว่าปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง Digital Transformation ที่ข้อมูลถูกเปลี่ยนจากแอนะล็อกเข้าสู่ดิจิทัล จึงไม่แปลกที่จะเป็นยุคแห่ง Exo-Memory ที่คนเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำนอกร่างกาย ปัจจุบันเป็นยุคแห่ง AI Transformation ที่การประมวลผล (ความสามารถในการคิดวิเคราะห์) ถูกถ่ายโอนมาสู่เครื่องจักร ตัวอย่างคือ AI ที่เรียกว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ Large Language Model (LLM) ซึ่งได้แก่ ChatGPT ของ OpenAI, Gemini ของ Google หรือ Claude ของ Anthropic

ก่อนที่เราจะเปรียบเทียบ AI อย่าง LLM กับสมองของมนุษย์ มามองระบบการคิดของมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังนี้ :

  • ระบบที่ 1 เป็นการคิดแบบอัตโนมัติ รวดเร็ว ใช้สัญชาตญาณ ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยธรรมชาติ เช่น เมื่อเราชำนาญแล้ว การตอบคำถามง่ายๆ เช่น 2+2 = 4 ที่แทบไม่ต้องคิด
  • ระบบที่ 2 เป็นการคิดแบบช้า ใช้เหตุผล วิเคราะห์ที่ต้องใช้ความพยายามและสมาธิสูง ใช้พลังงานสมองมากกว่า เช่น การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน การวางแผนระยะยา


ทั้งสองระบบมีประโยชน์และข้อจำกัดต่างกัน ระบบที่ 1 ช่วยให้เราตัดสินใจได้เร็วแต่อาจผิดพลาด เพราะใช้อคติหรือความเคยชิน ส่วนระบบที่ 2 ช่วยให้เราตัดสินใจได้รอบคอบกว่า แต่ใช้เวลาและพลังงานมากกว่า

หากเปรียบ LLM กับสมองของมนุษย์ จะเห็นพัฒนาการของ LLM ซึ่งแบ่งเป็นสองช่วงเวลา ช่วงแรก คือช่วงที่ LLM มีการพัฒนาและทำงานเหมือนสมองระบบที่ 1 เป็นช่วงที่ ChatGPT เปิดตัวในปี 2022 จนถึง GPT4o ในปี 2024 โดย LLM มีการตอบคำถามเหมือนการใช้สัญชาตญาณ ไม่ได้มีการคิดวิเคราะห์ไต่ตรองก่อนตอบคำถาม

การพัฒนาช่วงที่สองของ LLM คือ ตอนที่ OpenAI เปิดตัวโมเดลใหม่ที่มีชื่อว่า o1 ซึ่งสามารถวิเคราะห์อย่างเป็นระบบคล้ายคลึงกับการทำงานของสมองด้วยระบบที่ 2

ย้อนกลับมาที่แนวคิดเรื่องไซบอร์ก จะเห็นว่าเริ่มมีการใช้งาน LLM อย่าง ChatGPT มาเป็นสมองที่สองในการช่วยขัดเกลาความคิดต่างๆ คอนเซ็ปต์นี้เรียกว่า “Exocortex” โดยที่ Exo สื่อถึงภายนอก และ Cortex สื่อถึงสมองในส่วน Executive Function ที่ใช้ในการคิดวิเคราะห์

การใช้ LLM คิดวิเคราะห์และทำงาน เปรียบเสมือนการมีสมองที่สองที่อยู่ภายนอกร่างกายหรือ Exocortex ซึ่งเป็นอวัยวะที่ 33 ต่อยอดจาก Exomemory หรือสมองส่วนความจำที่อยู่นอกร่างกาย

หากเราดูหนัง Sci-fi แล้วเห็นไซบอร์ก น่าจะทำให้นึกได้ว่าเราหลายคนก็เป็นไซบอร์ก เพียงแค่ Exomemory และ Exocortex หรือสมองส่วนความจำและความคิดที่เสริมมานั้นอยู่นอกร่างกาย และอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ (ในมือถือ)


อ้างอิง :

0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI