ทำไมเราจึงควรเรียนรู้ AI คู่ไปกับการรับมือภัยธรรมชาติ
การเรียนรู้ AI ควบคู่ไปกับการรับมือภัยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างมากในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ ลดความเสียหาย ไปจนถึงการวางแผนอพยพ หากไม่สามารถตั้งรับ ไปจนถึงการเพิ่มศักยภาพเพื่อการแข่งขันในอนาคต
การรับมือภัยธรรมชาติกับ AI
ก่อนเกิดเหตุ ‘เพื่อให้ AI ช่วยพยากรณ์และเตือนภัยล่วงหน้า’
จากความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ของ AI เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ปริมาณฝน และอีกมาก ทำให้ตรวจจับแนวโน้มของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุ ได้เร็วและแม่นยำขึ้น เช่น ระบบ AI ของ Google และ IBM ที่ใช้พยากรณ์น้ำท่วมล่วงหน้าในหลายประเทศ
หลังเกิดเหตุ ‘เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเหตุฉุกเฉิน’
เพราะ AI สามารถช่วยประมวลผลข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เพื่อให้หน่วยงานฉุกเฉินตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้โดรนหรือหุ่นยนต์ควบคุมด้วย AI ในการค้นหาผู้รอดชีวิต หรือประเมินความเสียหายเบื้องต้น สามารถลดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ไปจนถึงลดความเสี่ยงของทีมกู้ภัย
ช่วงเวลาฟื้นฟู ‘เพื่อวางแผนรับมือและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติได้ดีขึ้น’
เปรียบได้กับคำว่า Resilience หรือ การยืดหยุ่นปรับฟื้นคืนได้ไว สามารถใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลอดีตเพื่อจำลองสถานการณ์ในอนาคต (Simulation) ช่วยออกแบบระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อภัยธรรมชาติ เช่น อาคารต้านแผ่นดินไหว หรือระบบน้ำที่รับมือฝนตกหนักได้ในอนาคต
ช่วงเวลาปกติและวิกฤต ‘เพื่อช่วยเสริมสร้างความรู้และตัดสินใจบนฐานข้อมูล’
หากเรามีความรู้ในแบบองค์รวมทั้ง AI และการรับมือภัยธรรมชาติไปพร้อมกัน จะช่วยเสริมสร้างความรู้และตัดสินใจบนฐานข้อมูล เนื่องจากการเรียนรู้ AI ทำให้ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ เข้าใจเครื่องมือดิจิทัล และรู้จักวิธีนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งยังเพิ่มความสามารถในการแยกแยะข้อมูลจริงและเท็จในช่วงภัยพิบัติ ลดความตื่นตระหนก ลดข่าวปลอม คลิปปลอมที่สร้างจาก AI Deepfake ได้ในขณะเดียวกัน
ช่วงเวลาในการพัฒนา ‘สร้างอาชีพและนวัตกรรมเพื่อสังคม’
การผสานความรู้ด้าน AI กับการแก้ปัญหาภัยธรรมชาติ เปิดโอกาสให้เกิด นวัตกรรม และอาชีพใหม่ เช่น นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Data Scientist) ผู้เชี่ยวชาญระบบ AI สำหรับการตอบสนองฉุกเฉิน (AI Emergency Response Specialist) นักพัฒนา AI โดรนและหุ่นยนต์ช่วยเหลือ (AI Drone & Rescue Robot Developer) สตาร์ทอัพด้านภัยพิบัติที่จะช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงได้มากขึ้น
เราสามารถวางแผนการเรียนรู้ AI คู่ไปกับการรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างไร
การลงทุนและการพัฒนาหลักสูตรในระบบการศึกษาไม่มีคำว่าช้าเกินไป ปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนมีแนวทางกับปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ยากจะคาดการณ์ ไปพร้อมกับการก้าวตามให้ทัน AI แต่อาจยังไม่รวดเร็วเพียงพอ ดั้งนั้นการสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในความรู้เหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น
การปรับปรุงความรู้ในระดับชั้นเรียนโดยครูผู้สอนสำหรับผู้เรียนในระบบการศึกษา ด้วยการเพิ่มสัดส่วนความรู้และกิจกรรมในด้าน AI และการรับมือภัยพิบัติมากขึ้น ด้วยการถอดรหัสกรณีศึกษา การแลกเปลี่ยนความคิด การสร้างความตระหนักถึงภัยที่เกิดได้กับทุกคนทุกภูมิภาค การเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นจริง และการสร้างภูมิคุ้มกันเบื้องต้นหลังเกิดเหตุกาณ์
การเร่งให้ความรู้อย่างทั่วถึงให้กับคนในชุมชนและผู้ที่อยู่นอกระบบการศึกษา ที่เช่นเดียวกับกับการปรับปรุงหลักสูตรที่ต้องอาศัยเวลาและงบประมาณ อย่างไรก็ตามสามารถเริ่มได้เลยโดยผู้นำความคิดของชุมชน (Opinion Leaders) การสร้างสื่อให้ความรู้ทั้งในรูปแบบดิจิทัลและออฟไลน์ เช่น สื่อการ์ตูน วิดีโอ เกม โดยการร่วมมือกันของหน่วยงานในสังคม ลดช่องว่างให้กับผู้ที่ยังขาดโอกาสด้านดิจิทัล ไม่ให้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในเวลาเดียวกัน
ภาครัฐจะสนับสนุนการเรียนรู้ AI คู่ไปกับการรับมือภัยธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้นได้อย่างไร
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงและการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ภาครัฐสามารถสนับสนุนได้ในหลากหลายมิติ เช่น ‘การบูรณาการในระบบการศึกษา’ ด้วยการบรรจุ AI และการจัดการภัยพิบัติในหลักสูตร และสนับสนุนการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ (Project-based Learning) ‘การมอบทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม’ ในแนวทางทุนวิจัยพัฒนานวัตกรรมชุมชนหรือเทศบาล ด้าน AI for Disaster Management ‘การจัดตั้งคลังข้อมูลภัยธรรมชาติแบบเปิด (Open Data)’ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึง และ ‘การลงทุนในแพลตฟอร์มสนับสนุนการเรียนรู้ AI’
นอกจากนี้ภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหากำไร องค์กรความรู้ และชุมชนที่มีความรู้ สามารถแบ่งปันและช่วยกันพัฒนาแนวทางการศึกษาการเรียนรู้ AI คู่ไปกับการรับมือภัยธรรมชาติได้ เพื่อร่วมพัฒนาคนไทยให้เป็นประชากรใน Smart City ที่มีความสามารถหลากหลาย รับมือได้กับทุกสถานการณ์ โดยทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเรียนรู้และแนวทางปฏิบัติอย่างสร้างสรรค์ เพื่อก้าวไปสู่สังคมแห่งความยั่งยืน
อ้างอิง :
- amitysolutions.com
- oecd.ai
- unesco.org
- www.okmd.or.th/TheKnowledgevol.39

