วัฒนธรรมที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทเชื่อมโยงกับชีวิตทางวัฒนธรรมของเราทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะผ่านการสร้างสรรค์งานศิลปะและดนตรี ไปจนถึงการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม และการกำหนดคุณค่าทางสังคม AI กำลังนิยามใหม่ว่าวัฒนธรรมถูกผลิตและถูกกำกับดูแลอย่างไร ค่านิยมระดับชาติและภูมิภาคมีอิทธิพลอย่างมากต่อการออกแบบ การกำกับดูแล และการประเมินด้านจริยธรรมของ AI สังคมที่ต่างกันให้ความสำคัญกับประเด็นที่แตกต่างกัน
บริบทตะวันตก เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป
ในหลายพื้นที่ของยุโรปและสหรัฐอเมริกา การถกเถียงเกี่ยวกับ AI มักถูกรวมอยู่ในประเด็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว อคติ และความรับผิดชอบ สหภาพยุโรปมีกฎหมายสำคัญอย่าง AI Act ซึ่งจะมีผลบังคับเต็มที่ภายในปี 2025 ที่ใช้แนวทาง ‘มนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ โดยห้ามการใช้ AI ที่ถือว่าเสี่ยงสูงต่อสิทธิมนุษยชน เช่น ระบบให้คะแนนทางสังคม หรือการสอดส่องที่ล่วงล้ำ และกำหนดมาตรการความโปร่งใสและความเป็นธรรมอย่างเข้มงวดในพื้นที่ที่อ่อนไหว แนวทางนี้สะท้อนคุณค่าของยุโรปในเรื่องศักดิ์ศรีและเสรีภาพของปัจเจก และยังเชื่อมโยงบทเรียนจากกฎหมาย GDPR เพื่อให้แน่ใจว่า AI เคารพสิทธิส่วนบุคคล
ในสหรัฐอเมริกา แม้ยังไม่มีกฎหมาย AI ฉบับเดียวแบบเบ็ดเสร็จ แต่มีแนวทาง เช่น Blueprint for an AI Bill of Rights ปี 2022 ที่ส่งเสริมการคุ้มครองจากอันตรายที่ AI อาจก่อ เช่น อัลกอริทึมที่ลำเอียงในกระบวนการจ้างงานหรือการบังคับใช้กฎหมาย บริษัทเทคโนโลยีมักออก ‘กฎบัตรจริยธรรม’ ด้วยตนเอง และมีเวทีพหุภาคีสำหรับกำหนดบรรทัดฐานของ AI แนวทางการกำกับดูแลแบบตะวันตกมักโน้มเอียงไปทางประชาธิปไตยแบบพหุนิยม มีการมีส่วนร่วมจากมหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคม อุตสาหกรรม และรัฐบาล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการกำกับดูแล
แม้ภายในตะวันตกเองก็มีความแตกต่าง เช่น แคนาดาและสหภาพยุโรปให้ความสำคัญต่อผลกระทบของ AI ต่อกลุ่มชายขอบ ขณะที่สหรัฐอเมริกาเน้นนวัตกรรมและความมั่นคง แต่โดยทั่วไปแล้วค่านิยมแบบเสรีประชาธิปไตยก่อให้เกิดนโยบาย AI ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคล ความโปร่งใส และกลไกตรวจสอบ เช่น การตรวจรับรอง นอกจากนี้ ภูมิภาคตะวันตกยังถกเถียงเรื่องจริยธรรมของ AI ในเชิงหลักการสากล เช่น ข้อเสนอแนะด้านจริยธรรมของยูเนสโก 2021 ที่ผลักดันโดยหลายประเทศตะวันตก เพื่อกำหนดบรรทัดฐานระดับโลกเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ความหลากหลาย และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
บริบทจีน
จีนมีบริบททางวัฒนธรรมและการเมืองที่ก่อให้เกิดปรัชญาการกำกับดูแล AI ที่แตกต่าง รัฐมีบทบาทรวมศูนย์และชี้นำในการกำหนดทิศทางการพัฒนา AI สอดคล้องกับประเพณีแบบรวมหมู่และลัทธิขงจื๊อที่ให้ความสำคัญกับความกลมเกลียวของสังคมและสวัสดิการส่วนรวม แนวทางนี้มักถูกอธิบายว่าเป็น ‘การกำกับดูแลที่เน้นผลลัพธ์และประโยชน์ส่วนรวม’ ต่างจากตะวันตกที่เน้นผลประโยชน์ของปัจเจก
ในทางปฏิบัติ กฎระเบียบ AI ของจีนมุ่งเน้นความมั่นคงทางสังคม ศีลธรรม และความมั่นคงของรัฐ ตัวอย่างเช่น กฎระเบียบปี 2022 เกี่ยวกับอัลกอริทึมแนะนำ และมาตรการชั่วคราวปี 2023 เกี่ยวกับ Generative AI กำหนดให้บริการ AI ต้อง ‘ยึดถือคุณค่าหลักแบบสังคมนิยม’ และไม่ผลิตเนื้อหาที่บ่อนทำลายอุดมการณ์หรือความมั่นคงของรัฐ แพลตฟอร์ม Generative AI ในจีนต้องกรองเนื้อหาทางการเมืองหรือ ‘เนื้อหาที่เป็นอันตราย’ โดยโครงสร้างตั้งต้นรัฐยังบังคับให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและตรวจสอบความปลอดภัยก่อนให้บริการ AI ต่อสาธารณะ
ด้านจริยธรรม เอกสาร AI ของจีนกล่าวถึงความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือคล้ายกับตะวันตก แต่เน้น ‘ความรับผิดชอบต่อสังคม’ มากกว่าสิทธิส่วนบุคคล วัฒนธรรมขงจื๊อยังสนับสนุนการมองว่า AI เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความกลมเกลียวและความมั่งคั่งร่วมกัน ภายใต้การกำกับดูแลโดยรัฐอย่างมีเมตตา สิ่งนี้เห็นได้จากโครงการระดับชาติ เช่น AI เพื่อลดความยากจน หรือการใช้ AI ในบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา สาธารณสุข เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แม้ผู้วิจารณ์ตะวันตกมักชี้ไปที่แง่มุมการสอดส่องของ AI ในจีน เช่น การใช้การจดจำใบหน้าในพื้นที่สาธารณะ แต่ภายในจีนเองก็มีการสนับสนุนให้ใช้ AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาเศรษฐกิจ สะท้อนความไว้วางใจในรัฐบาลและการกำกับดูแลเทคโนโลยี
ภูมิภาคอื่นๆ เช่น เอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง
หลายประเทศทั่วโลกกำลังสร้างยุทธศาสตร์ AI ที่ผสมผสานแนวปฏิบัติสากลกับค่านิยมท้องถิ่น ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคทำให้การกำหนดนโยบาย AI มีจุดเน้นที่ไม่เหมือนกัน
ในเอเชียตะวันออกนอกจากจีน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์
รัฐบาลผลักดันนวัตกรรม AI อย่างเข้มแข็ง ควบคู่กับการเน้นความเป็นอยู่ของชุมชนญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น บูรณาการ AI เข้ากับวิสัยทัศน์ ‘สังคม 5.0’ เพื่อแก้ปัญหาสังคม เช่น ปัญหาสังคมสูงวัย การรับมือภัยพิบัติ ในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ และยังมีความคุ้นเคยสูงกับการใช้หุ่นยนต์ในชีวิตประจำวัน
ในโลกอาหรับ
ประเทศอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบียได้เปิดตัวโครงการ AI ขนาดใหญ่ มุ่งที่การกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจและโครงการสมาร์ทซิตี พร้อมกับพัฒนาแนวทางจริยธรรม เช่น หลักการจริยธรรม AI ของ UAE ที่เน้นความครอบคลุมและความโปร่งใส เวิร์กช็อปยูเนสโกปี 2025 ที่ไคโร ยังชี้ให้เห็นว่าประเทศอาหรับกำลังเชื่อมแผน AI เข้ากับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและอนุสัญญาด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรมปี 2005 เพื่อให้ AI สนับสนุนวัฒนธรรมท้องถิ่นแทนที่จะทำลายมัน
ในแอฟริกา
หลายประเทศเน้นการสร้างศักยภาพและการยกระดับสังคมผ่าน AI เช่น เคนยาและแอฟริกาใต้ใช้ AI ในเกษตรกรรม การสาธารณสุข และการศึกษาเพื่อปิดช่องว่างด้านการพัฒนา การถกเถียงเรื่องการกำกับดูแลในแอฟริกามักเน้นหลีกเลี่ยงการพึ่งพาทางเทคโนโลยี และให้ AI ถูกใช้เพื่อลดความไม่เท่าเทียม สหภาพแอฟริกายังได้ออกกลยุทธ์ด้านข้อมูลและ AI ที่ยึดถือค่านิยมแบบแอฟริกัน เช่น ความเป็นหนึ่งเดียว ความเสมอภาค และเรียกร้องให้ภาษาและมุมมองของแอฟริกาได้รับการแทนที่ในระบบ AI เพื่อหลีกเลี่ยง ‘ลัทธิล่าอาณานิคมทางดิจิทัล’
ในละตินอเมริกา
ประเทศอย่างบราซิลและอาร์เจนตินามีกลยุทธ์ AI ที่ก้าวหน้า โดยคำนึงทั้งด้านนวัตกรรมและผลกระทบทางสังคม กลยุทธ์ AI ของบราซิล ที่เปิดตัวในปี 2021 เน้นจริยธรรม สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจ สอดคล้องกับกรอบกฎหมายดิจิทัลที่เข้มแข็งของประเทศ นักคิดละตินอเมริกาและแอฟริกาจำนวนไม่น้อยกังวลว่า หากไม่ควบคุม AI อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นหรือยัดเยียดค่านิยมจากภายนอก จึงมีการเรียกร้องให้ ‘ปลดแอก AI จากอาณานิคม’ ผ่านการสร้างบุคลากรและโซลูชัน AI ที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทวัฒนธรรมท้องถิ่น
ข้อกังวลหนึ่งคือเครื่องมือ AI ที่ใช้งานทั่วโลกอาจทำให้วัฒนธรรมต่างๆ กลายเป็นแบบเดียวกัน ทำลายเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น โมเดล AI มักจะสะท้อนข้อมูลและค่านิยมของผู้พัฒนา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคที่ผลิตเทคโนโลยีเพียงไม่กี่แห่ง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ช่วย AI ด้านภาษาที่ได้รับความนิยมหลายตัวถูกพัฒนาในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษ และมักจะอ้างอิงวัฒนธรรมตะวันตกเป็นค่าเริ่มต้น
การศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cornell ได้แสดงให้เห็นผลกระทบนี้อย่างชัดเจน เมื่อผู้ใช้ชาวอินเดียลองใช้ผู้ช่วยเขียน AI พบว่ามันมักจะแนะนำเนื้อหาที่เน้นวัฒนธรรมตะวันตก เช่น หากผู้ใช้ชาวอินเดียเริ่มเขียนเกี่ยวกับอาหารหรือเทศกาล AI จะแนะนำ ‘พิซซ่า’ และ ‘คริสต์มาส’ แทนที่จะเป็นอาหารท้องถิ่นหรือเทศกาลในพื้นที่ เมื่อพิมพ์ ‘S’ เพื่อหานักแสดงที่ชื่นชอบ AI จะแนะนำ Scarlett Johansson หรือ Shaquille O'Neal แทนที่จะเป็น Shah Rukh Khan ซึ่งเป็นไอคอนของบอลลีวูด
นักวิจัยเรียกอคติลักษณะนี้ว่า ‘ลัทธิล่าอาณานิคม AI’ โดยเตือนว่าการบังคับใช้บรรทัดฐานตะวันตกอย่างละเอียดอ่อนเช่นนี้ อาจมีอิทธิพลไม่เพียงแค่ต่อวิธีการเขียนของผู้ใช้ที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก แต่ยังรวมไปถึงวิธีคิดด้วย เพราะการนำเสนออ้างอิงวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งเป็นมาตรฐานเริ่มต้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการสูญเสียวัฒนธรรมหากระบบ AI ยังคงมุ่งเน้นตะวันตก
ผู้นำในแอฟริกาและเอเชียได้สะท้อนความกังวลเหล่านี้ โดยชี้ให้เห็นว่าหากไม่มีข้อมูลป้อนจากท้องถิ่น AI อาจกลายเป็นรูปแบบใหม่ของจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม เช่น การเสริมสร้างภาษาอังกฤษเหนือภาษาพื้นเมือง หรือการส่งเสริมมาตรฐานความงามแบบตะวันตกในฟีดโซเชียลมีเดียที่ AI คัดสรร
ในทางกลับกัน AI ก็มีศักยภาพที่จะเฉลิมฉลองและเผยแพร่วัฒนธรรมที่หลากหลายไปยังวงกว้างมากกว่าที่เคยเป็นมา AI สามารถช่วยแปลและเผยแพร่เพลงของนักดนตรีท้องถิ่นไปยังผู้ฟังทั่วโลกด้วยคำบรรยายอัตโนมัติ หรือแนะนำภาพยนตร์จากทั่วโลกให้กับผู้ชมที่อาจไม่เคยได้พบเจอในรูปแบบอื่น
การศึกษาหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้เพียงการใส่คำสั่งที่ระบุบริบททางวัฒนธรรม เช่น ‘ในรูปแบบของนักเขียนอินเดีย’ สามารถทำให้ AI สร้างเนื้อหาที่สะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง และช่วยลดแนวโน้มของระบบในการทำให้วัฒนธรรมทั่วโลกถูกทำให้เหมือนกันมากเกินไป
การออกแบบและใช้งาน AI อย่างมีสติ จึงไม่เพียงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิธีคิดของมนุษย์ที่ทำให้โลกของเรายังคงมีสีสันและความหมายในแบบที่แตกต่างกันออกไป