การเปลี่ยนผ่านระบบ ERP จาก SAP ECC 6.0 สู่ Oracle On-Premise เพื่อยกระดับ ประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร

23 ธันวาคม 2025
|
4 อ่านข่าวนี้
|
2


            ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ถือเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจขององค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยระบบ SAP ECC 6.0 ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายเพราะมีความมั่นคงและรองรับโมดูลธุรกิจหลายด้านอย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสนับสนุนจากผู้ให้บริการอาจลดลง หรืออาจไม่มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อีกต่อไป

            ในแง่นี้ องค์กรจึงต้องพิจารณาการเปลี่ยนผ่าน (transition) หรือย้าย (migration) ไปสู่องค์กรพื้นฐานที่ทันสมัยกว่า เช่น Oracle On-Premise ซึ่งให้ความยืดหยุ่นด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศขององค์กร โดยบทความนี้จะวิเคราะห์ประเด็นหลักที่ควรพิจารณาเมื่อเปลี่ยนจาก SAP ECC 6.0 ไปยัง Oracle On-Premise

1. เหตุผลในการเปลี่ยนระบบ

            อายุการสนับสนุนของ SAP ECC 6.0 ใกล้สิ้นสุด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และการบำรุงรักษา (maintenance) ที่สูงขึ้น ความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การรวมระบบข้ามธุรกิจ หรือการขยายระบบให้รองรับตลาดใหม่ ซึ่งอาจถูกจำกัดโดยเทคโนโลยีเดิม โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ (IT infrastructure) ที่อาจต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนเพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร การเลือก Oracle On-Premise จะช่วยให้มีตัวเลือกด้านฮาร์ดแวร์ DBMS และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ยืดหยุ่นกว่า โอกาสในการลดต้นทุนรวมการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership) ทั้งด้านการบำรุงรักษา การอัพเกรด และการจัดการระบบ

2. ประเด็นสำคัญในการวางแผน Migration

            • การประเมินสภาพแวดล้อมปัจจุบัน: การทำ “as-is” ของระบบ SAP ECC 6.0 ทั้งด้านโมดูลธุรกิจ (Modules) และโครงสร้างฐานข้อมูล (Custom code) พร้อมทั้งตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบอื่น (interfaces)

            • การเลือกสถาปัตยกรรม Oracle On-Premise: เช่น การเลือกใช้ Oracle Database เวอร์ชันใด การใช้ Oracle Real Application Clusters (RAC) หรือ Data Guard เพื่อรองรับ High Availability และ Disaster Recovery ซึ่งในเอกสารของ Oracle Corporation ระบุว่าฐานข้อมูล Oracle ได้รับการปรับแต่งเพื่อรองรับระบบ SAP อย่างเต็มรูปแบบ

            • การย้ายข้อมูลและโค้ดปรับแต่ง: ระบบ SAP แทบทุกระบบมีโค้ดที่ปรับแต่งเฉพาะองค์กร (custom code) ซึ่งต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับสภาพแวดล้อมใหม่ รวมถึงข้อมูลธุรกิจ (master data และ transaction data) ที่อาจต้องทำ data cleansing หรือการคัดเลือกข้อมูล (data selection) ก่อนย้าย

            • การวางแผน Cut-over และ Go-Live: กำหนดช่วงเวลาการเปลี่ยนระบบให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบธุรกิจ ทั้งนี้อาจใช้เทคนิค parallel run, phased migration หรือ big-bang ขึ้นกับความซับซ้อนของระบบ

            • การจัดการความเสี่ยง (Risk Management): ความเสี่ยงที่ต้องจัดการ เช่น การหยุดชะงักของธุรกิจ (business disruption) ความเสียหายของข้อมูล (data loss) ปัญหาด้านประสิทธิภาพ (performance issues) หรือปัญหาด้านการยอมรับของผู้ใช้ (user adoption)

            • การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management): ระบบใหม่ย่อมมีความแตกต่างทั้งด้านกระบวนการธุรกิจและการใช้งาน การอบรมและการสื่อสารภายในองค์กรจึงถือเป็นกุญแจสำคัญ

3. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

            • เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล (processing performance) และรองรับข้อมูลปริมาณมากได้ดีขึ้น Oracle Document แสดงให้เห็นว่าฐานข้อมูล Oracle สามารถรองรับระบบ SAP ที่มีขนาดหลาย TB ได้โดยไม่กระทบประสิทธิภาพ

            • รองรับ High Availability และ Scalability ได้อย่างเหนือชั้น ซึ่งช่วยลดเวลาการหยุดทำงานและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต

            • ลดต้นทุนรวมการเป็นเจ้าของในระยะยาว ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ โดยประโยชน์มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย

            • สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ (Business Agility) จากความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็ว

4. ข้อพิจารณาและอุปสรรคที่อาจพบ

            • ความซับซ้อนของโครงการ Migration อาจสูงโดยเฉพาะหากระบบมีจำนวนโมดูลมาก หรือเชื่อมโยงระบบอื่นหลายระบบ

            • ต้นทุนเริ่มต้น (initial investment) อาจสูง ได้แก่ ค่า licence ฮาร์ดแวร์ และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ

            • เวลาหยุดระบบ (downtime) ที่อาจเกิดขึ้นในช่วง cut-over หากไม่มีการวางแผนอย่างละเอียด

            • ความเสี่ยงด้านการยอมรับของผู้ใช้ใหม่และการเปลี่ยนแปลงกระบวนการธุรกิจ อาจสร้างแรงต้านภายในองค์กร


            การย้ายจาก SAP ECC 6.0 ไปยัง Oracle On-Premise เป็นโครงการที่มีความท้าทายสูง แต่หากมีการวางแผนอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งประเมินสภาพแวดล้อมปัจจุบันอย่างละเอียด จัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และดำเนินการบริหารการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ก็จะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า ได้แก่ ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ความยืดหยุ่น และความพร้อมรองรับอนาคตของธุรกิจ

            องค์กรควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานะ “as-is” และกำหนดเป้าหมาย “to-be” อย่างชัดเจน เลือกยุทธศาสตร์ migration ที่เหมาะสมกับบริบท (เช่น phased หรือ big-bang) และเตรียมแผนการสำรอง (rollback plan) กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

        ท้ายที่สุดแล้ว การดำเนินโครงการนี้ถือเป็นการลงทุนด้านระบบสารสนเทศที่จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจในระยะยาว และองค์กรที่ดำเนินการอย่างมีวินัย จะสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่สภาพแวดล้อม ERP ที่มั่นคงและทันสมัยได้อย่างประสบผลสำเร็จ

องค์ความรู้ที่ใช้ เเละ/หรือ รหัสความรู้ในระบบ KMIM Centre หัวข้อ แผนแสวงหาความรู้ (Knowledge Acquisition Plan)

            • S3 กระบวนการจัดการระบบดิจิทัลเทคโนโลยี

แหล่งอ้างอิง ที่มาของข้อมูล หนังสือ วารสารวิชาการ เว็บไซต์ เป็นต้น

            • Oracle Corporation. Oracle for SAP Cloud and Infrastructure Update. – เอกสารอธิบายการนำระบบ SAP ไปสู่โครงสร้าง Oracle รวมถึง Exadata และ RAC

            • Oracle Corporation. Oracle for SAP Database Update. – เอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรองรับ SAP บนฐานข้อมูล Oracle

            • IBM Community. “New documentation about how to migrate SAP ECC on Oracle systems to IBM Power Virtual Server”. (แม้จะเกี่ยวกับ IBM แต่ให้แนวทางการมอง migration)

            • Pathlock. “Step-by-Step Guide to SAP ECC to SAP S/4HANA Migration”. ให้ภาพรวมแนวทาง ERP migration ซึ่งสามารถอ้างอิงแนวคิดในภาพรวมได้


0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI