วงเวียนใหญ่

วงเวียนใหญ่ ลาดหญ้า: ถนนสายจิ้มจุ่ม ตำนานความอร่อยกว่า 40 ปี

04 มีนาคม 2025
|
484 อ่านข่าวนี้
|
0


หากพูดถึงย่านวงเวียนใหญ่ ภาพแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่สำหรับสายกิน ถนนลาดหญ้าคือสวรรค์ของจิ้มจุ่มและอาหารอีสานที่เรียงรายให้เลือกชิมอย่างละลานตา ถือเป็นหนึ่งในแหล่งรวมร้านจิ้มจุ่มที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเทพฯ

จากยุคบุกเบิกสู่ตำนานความอร่อยริมทาง

ย้อนกลับไปกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ร้านจุ่มลาดหญ้าหน้าสหกรณ์ฯ ถือเป็นหนึ่งในร้านแรก ๆ ที่วางรากฐานให้ถนนเส้นนี้กลายเป็นศูนย์กลางของจิ้มจุ่มในเมืองหลวง ความรุ่งเรืองของย่านนี้ยังสอดคล้องกับช่วงเวลาที่เซ็นทรัลลาดหญ้า ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งแรกของกรุงธนบุรี เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2524 ตามมาด้วยห้างเมอร์รี่คิงส์ในปี พ.ศ. 2529 แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป ห้างบางแห่งปิดตัวลง แต่ตำนานความอร่อยริมทางยังคงอยู่

ทำไมจิ้มจุ่มถึงเฟื่องฟูที่ลาดหญ้า?

หลายแหล่งข้อมูลระบุตรงกันว่า ถนนลาดหญ้ากลายเป็นศูนย์กลางของร้านจิ้มจุ่ม เพราะแรงขับเคลื่อนจากชุมชนชาวอีสานที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ พวกเขานำรสชาติจากบ้านเกิดมาถ่ายทอด เปิดร้านขายอาหารอีสานแบบดั้งเดิม เมื่อมีร้านแรก ก็มีร้านที่สองตามมา ต่างชักชวนกันมาเปิดกิจการ จนกระทั่งถนนเส้นนี้ได้รับฉายาว่า "ถนนสายจิ้มจุ่ม" แม้ว่าปัจจุบันจำนวนร้านจะลดลงจากอดีตก็ตาม


จิ้มจุ่ม VS แจ่วฮ้อน ต่างกันอย่างไร?

จิ้มจุ่มเป็นเมนูหม้อไฟยอดนิยมของภาคอีสาน ประกอบด้วยน้ำซุปใสที่ต้มจากกระดูกหมู ปรุงด้วยข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกสด หอมแดง และรากผักชี ให้รสเผ็ดร้อน ส่วนแจ่วฮ้อนมีน้ำซุปที่เข้มข้นกว่า บางสูตรเติมเลือดหมูหรือเลือดวัว ข้าวคั่ว และขี้เพี้ย (น้ำย่อยจากลำไส้วัว) เพื่อเพิ่มรสขมอันเป็นเอกลักษณ์

3 ร้านในตำนานของถนนลาดหญ้า

ปัจจุบันมีเพียง 3 ร้านเท่านั้นที่ยังคงเปิดให้บริการต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคบุกเบิก ได้แก่

  1. ร้านจุ่มลาดหญ้าหน้าสหกรณ์ฯ
    จุดเด่น คือพนักงานเสื้อสีม่วง ปรุงอาหารบนรถเข็นริมถนน ร้านแบ่งออกเป็นสองโซน คือลานจอดรถสหกรณ์กรุงเทพฯ และห้องแถวหนึ่งคูหา คุณสมจิต ดีเสมอ เจ้าของร้าน เล่าว่าตนเองย้ายมาจากจังหวัดสุรินทร์ เริ่มจากขายส้มตำรถเข็นเมื่อปี พ.ศ. 2528 ก่อนจะขยายเป็นร้านจิ้มจุ่ม แจ่วฮ้อน เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่น้ำซุปจากการต้มไส้หมู ผสมซอสหมักคอหมูย่าง ต้มกับสมุนไพรไทยตั้งแต่เย็นถึงดึก ลูกค้าแน่นร้านแทบทุกวัน
  2. ร้านป้าแต๋วหมูจุ่ม
    เปิดขายมากว่า 36 ปี ลูกสาวของป้าแต๋วเล่าว่าในอดีตย่านนี้เคยมีสถานบันเทิงหลายแห่ง ทำให้หลังเที่ยงคืนเต็มไปด้วยนักท่องราตรีที่แวะกินจิ้มจุ่มก่อนกลับบ้าน ร้านเคยเปิดตั้งแต่ 17.00 น. จนถึงตี 5 ของอีกวัน แต่ด้วยข้อจำกัดของกฎหมายและสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ปัจจุบันเหลือร้านจิ้มจุ่มในย่านนี้เพียงประมาณ 10 ร้านเท่านั้น
  3. ร้านป้าบัวจิ้มจุ่ม
    เปิดขายมากว่า 30 ปี จากยุคที่ถนนลาดหญ้ายังมีร้านจิ้มจุ่มไม่ถึง 3 ร้าน ปัจจุบันลูกชายของป้าบัวรับช่วงดูแลกิจการ เล่าว่าในอดีตเจ้าของร้านจิ้มจุ่มแทบจะรู้จักกันหมด ร้านไหนวัตถุดิบหมดก็สามารถขอแบ่งจากร้านอื่นได้ ไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง แต่เป็นเครือข่ายของคนที่มีใจรักในอาหารอีสานเหมือนกัน

อาหารริมทาง: เอกลักษณ์ที่เชื่อมโยงผู้คนกับพื้นที่

ถนนลาดหญ้าเป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยย่านที่อาหารริมทางสร้างชื่อเสียงและดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสัมผัสรสชาติที่ไม่เหมือนใคร งานวิจัยที่เผยแพร่ใน วารสารจุฬาลงกรณ์ธุรกิจปริทัศน์ ปี พ.ศ. 2561 อธิบายว่าความนิยมของอาหารริมทางในกรุงเทพฯ มาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  • ปัจจัยผลักดัน (Push Factors)
    เช่น วัฒนธรรมท้องถิ่น แรงงานที่เข้ามาทำงานในเมืองและโหยหารสชาติบ้านเกิด หรือผู้บริโภคที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ
  • ปัจจัยดึงดูด (Pull Factors) – ความหลากหลายของอาหาร ราคาเข้าถึงได้ และชื่อเสียงของร้านอาหารริมทาง โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียที่ทำให้ร้านเก่าแก่กลับมาได้รับความนิยมจากการรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์

อนาคตของถนนสายจิ้มจุ่ม

แม้ว่าจำนวนร้านจิ้มจุ่มในถนนลาดหญ้าจะลดลง แต่โอกาสของถนนสายนี้ยังคงอยู่ ตราบใดที่วัฒนธรรมการกินอาหารริมทางยังได้รับความนิยม และผู้ประกอบการยังคงรักษาคุณภาพ ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อตำนานความอร่อยเดินทางผ่านกาลเวลา แล้วอนาคตของถนนสายจิ้มจุ่มแห่งนี้จะก้าวไปในทิศทางใดต่อไป...



ข้อมูลอ้างอิง



0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI