บ้านหนังสือ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดด้วยเวลาและวัย
ปัจจุบันญี่ปุ่นมีห้องสมุดทั้งหมด 45,823 ห้อง ตั้งแต่ห้องสมุดแห่งชาติ ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ห้องสมุดสาธารณะ และห้องสมุดขนาดย่อมในชุมชน ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า ‘บุนโกะ’ (Bunko) ที่ตั้งอยู่ในหัวเมืองใหญ่ไปจนถึงเมืองเล็กๆ
แต่ถ้าเจาะไปที่ห้องสมุดสาธารณะญี่ปุ่น มีรากฐานมาจาก Teikoku Toshokan (The Imperial Library) ซึ่งก่อตั้งในปี 1872 ได้รับอิทธิพลจาก British Museum ก่อนจะพัฒนาเป็น National Diet Library ในปี 1948 ตามแบบ Library of Congress ของสหรัฐฯ และถูกมองเป็นเพียงสถานศึกษาเท่านั้น
ขณะที่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับห้องสมุด โดยเริ่มผลักดันให้ห้องสมุดเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตลอดชีวิตและเปิดให้ยืมหนังสือ จนปี 1950 มีการออก กฎหมายห้องสมุดสาธารณะ (Public Library Law) ให้ประชาชนเสียภาษีเพื่อนำเงินบางส่วนมาบำรุงห้องสมุด
สถานที่เก็บวรรณกรรมในประวัติศาสตร์และห้องสมุดสำหรับเด็ก
ถึงอย่างนั้น ในชนบทและเมืองเล็กๆ ยังคงขาดแคลนห้องสมุด เนื่องจากปัญหาประชากรสูงวัย เศรษฐกิจชะลอตัว และงบประมาณที่จำกัด ทำให้รัฐบาลต้องจ้างภาคเอกชนมาบริหารจัดการห้องสมุดบางแห่ง ส่งผลให้จำนวนห้องสมุดและบรรณารักษ์ลดลง และเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน จึงเกิด ‘บุนโกะ’ ห้องสมุดชุมชนขนาดเล็กขึ้น บุนโกะเป็นทางเลือกใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มบทบาทของห้องสมุดในพื้นที่ห่างไกล ช่วยให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงหนังสือและความรู้ได้ง่ายขึ้น
คำว่า ‘บุนโกะ’ (Bunko) มาจากการรวมกันของอักษรคันจิสองตัว ได้แก่ 文 แปลว่า วรรณกรรม และ 庫 หมายถึง คลังเก็บ ซึ่งเมื่อรวมความหมายตามตัวอักษรแล้วจึงมีความหมายว่า ‘สถานที่เก็บวรรณกรรม’ หรือ ‘คลัง’ หนังสือ แต่จริงๆ แล้วที่มาที่ไปของบุนโกะ มาจากที่ ‘โมโมโกะ อิชิอิ’ นักเขียนและนักแปลหนังสือเด็กเดินทางไปศึกษาระบบห้องสมุดเด็กในสหรัฐฯ และยุโรป และนำแนวคิดกลับมาพัฒนา Katsura Bunko (ห้องสมุดที่กำเนิดขึ้นในปี 1958) โดยต้องการสร้างบรรยากาศเหมือนบ้านที่เป็นมิตรและเปิดโอกาสให้เด็กเลือกหนังสือได้ตามความสนใจ
โดยทั่วไป บุนโกะ คือห้อง มุมเล็กๆ หรือแม้แต่ชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือสำหรับเด็ก เด็กๆ สามารถหยิบหนังสือจากชั้นมาอ่านในพื้นที่ใกล้เคียงได้ตามต้องการ และนำกลับไปคืนหลังอ่านเสร็จทันที
‘บุนโกะ’ ยุคปัจจุบัน พื้นที่เรียนรู้สำหรับคนยุคใหม่
แต่ในยุคนี้ บุนโกะทำหน้าที่มากกว่าการเป็นพื้นที่อ่านหนังสือสำหรับเด็กๆ อย่าง ‘Toyo Bunko’ (東洋文庫) คลังเก็บหนังสือใจกลางโตเกียวก็กลายเป็นห้องสมุดเชิงวิจัยและพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเอเชีย รวมถึงยังเป็นศูนย์วิจัยด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียไปพร้อมกับการเปิดหลักสูตรต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา และการอ่านตำราต้นฉบับจากทั่วโลก โดยศึกษาเรียนรู้จากหนังสือ คอลเลกชัน และผลการวิจัยอันทรงคุณค่าของห้องสมุด
และอีกหนึ่งตัวอย่าง คือ ‘Yanagisawa Bunko Library (柳沢文庫)’ ตั้งอยู่ในจังหวัดนารา สถานที่ที่เป็นทั้งคลังข้อมูลและพิพิธภัณฑ์รวบรวมงานเขียนอักษร บทกวี บันทึกสาธารณะและเอกสารประวัติศาสตร์งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลศักดินา และยังมีวัสดุหายาก หนังสือญี่ปุ่นเก่าๆ หลายหมื่นชิ้น ซึ่งประวัติศาสตร์ของรัฐบาลท้องถิ่นและงานเขียนทั่วไปอื่นๆ ที่เน้นประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจากภายในจังหวัดนาระและภูมิภาคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลไว้ด้วย
ส่วนประเทศไทยข้อมูลจาก Online Computer Library Center (OCLC) บอกว่าประเทศไทยเรามีห้องสมุดรวมมากถึง 34,751 ห้องสมุด ซึ่งรวมถึงห้องสมุดประชาชนที่มีแนวคิดคล้ายๆ กับบุนโกะ ห้องสมุดบางแห่งปรับตัวก็เดินหน้าต่อ ยังคงมีผู้คนแวะเวียนมาอยู่บ้าง บางห้องสมุดอาจถูกทิ้งไว้ หนังสือเป็นหนังสือเก่าแตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นบุนโกะหรือห้องสมุดประชาชนในประเทศไทย ก็ทำให้เห็นว่าพื้นที่เล็กๆ นี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เก็บหนังสือ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าถึงความรู้อย่างเท่าเทียม และเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาตลอดชีวิต และทำให้รู้ว่า คุณค่าของการอ่านและการเข้าถึงความรู้จะยังคงความสำคัญไม่เปลี่ยนแปลงต่อให้โลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม
ข้อมูลอ้างอิง :
- creativetalkconference.com/end-of-the-walk-way
- Robles, Lisette. "From Toshokan to Bunko: Rethinking the Public Libraries from the View of Japanese Grassroots Children’s Libraries." Asian Studies, vol. 45, no. 1 & 2, 2009, pp. 17–40.
- toyo-bunko.or.jp/en/
- www.statista.com/statistics/1038416/
- www.yanagisawabunko.or.jp/en/

