นครพนม

Once upon a time : โบสถ์เก่าคำเกิ้ม

13 พฤศจิกายน 2024
|
98 อ่านข่าวนี้
|
0





 Architecture 

  faith - belief -  People 


โบสถ์เก่าคำเกิ้ม Once upon a time,

 กาลครั้งหนึ่งซึ่งนานมาแล้ว…



            กาลครั้งหนึ่งซึ่งนานมาแล้ว....ภาพของมิชชันนารีชาวฝรั่งขี่ม้าเข้าเมืองไปทำธุระยังสถานที่ต่าง ๆ และไปยังท่าเรือที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงในจังหวัดนครพนม และมักจะปล่อยม้าตัวใหญ่เดินเลาะเล่นเล็มกินหญ้าอย่างสบายใจอยู่ภายในบริเวณสนามหญ้าสีเขียวใกล้ ๆ กับ โบสถ์คำเกิ้ม หรือ วัดนักบุญยอแซฟ แห่งนี้ เป็นภาพที่ชินตาของชาวบ้านคำเกิ้มจังหวัดนครพนมตลอดระยะเวลาหลายปี ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านคำเกิ้ม จนกระทั่งกาลเวลาค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านและค่อย ๆ พัดพาอดีตให้สลายหายไป ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว หากแต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่เล่าขานกันต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน จากคำบอกเล่าของผู้นำชุมชนและคนเฒ่าคนแก่ใน บ้านคำเกิ้ม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ในอดีตบ้านคำเกิ้มเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลตัวเมืองค่อนข้างมาก การเดินทางสัญจรไปมาค่อนข้างลำบาก 

            จากคำบอกเล่าของผู้นำชุมชนและคนเฒ่าคนแก่ใน บ้านคำเกิ้ม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ในอดีตบ้านคำเกิ้มเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลตัวเมืองค่อนข้างมาก การเดินทางสัญจรไปมาค่อนข้างลำบาก จึงมีเพียงครอบครัวชาวนาอาศัยอยู่กันไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีมิชชันนารีชาวฝรั่งกลุ่มหนึ่งเดินทางมาสำรวจเส้นทางเพื่อเผยแผ่ศาสนาที่จังหวัดนครพนม และได้มาเจอกับกลุ่มคริสตชนชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดนครพนมพวกเขาจึงได้ระดมความคิดและมีความเห็นตรงกันว่า “อยากจะย้ายกลุ่มคริสตชนไปตั้งรกรากยังที่เหมาะสม”

        หลังการค้นหาพื้นที่แห่งใหม่ ในที่สุดก็มาเจอบ้านคำเกิ้ม หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครพนมราว 3 กิโลเมตร ซึ่งครอบครัวชาวนาราว 3-4 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ที่นี้ ได้เปิดใจและพร้อมรับศาสนาคริสต์ที่ถูกนำมาเผยแพร่ จากนั้น กลุ่มคริสตชนจึงเริ่มถางป่าและร่วมกันสร้างหมู่บ้านขึ้นในปี ค.ศ. 1885 รวมถึงได้สร้างโบสถ์หลังแรกขึ้น ในรูปแบบหลังคามุงหญ้าฝาขัดแตะที่เรียบง่ายและอิงตามรูปแบบการก่อสร้างของท้องถิ่นเป็นสำคัญ


            ต่อมาในปี ค.ศ. 1904 โบสถ์หลังที่สองของบ้านคำเกิ้มได้ถูกสร้างขึ้นเป็นการถาวร โดย คุณพ่อเฟรสแนล บาทหลวงคณะมิสซังต่างประเทศจากกรุงปารีส (MEP) ปีค.ศ. 1940 โบสถ์ดังกล่าวก็ได้ถูกไฟไหม้ เนื่องด้วยสาเหตุจากสงครามซึ่งตามประวัติที่เขียนไว้บอกเล่าเอาไว้ในโบสถ์หลังปัจจุบัน ก็ได้ระบุเรื่องราวความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้ไว้ว่า “โบสถ์ได้ถูกวางเพลิงเนื่องจากกรณีพิพาทอินโดจีน และการเบียดเบียนศาสนา” หากมองให้ลึกลงไปอีกสักนิดถึงรูปแบบการก่อสร้างที่มีลักษณะผนังก่ออิฐถือปูนแข็งแรงแบบยุโรป หลังคามุงด้วยไม้เนื้อดีตามแบบท้องถิ่นอีสาน ให้ความรู้สึกทั้งความเป็นโบสถ์แบบฝรั่งที่ซุกซ่อนกลิ่นอายเล็ก ๆ ของความเป็นวัดไทยในท้องถิ่นอีสาน 
            หรือหากแลมองความเข้มขลังด้านหน้าของตัวโบสถ์ หลายคนบอกว่าให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินหลงอยู่ในประเทศแถบยุโรป และหากใครได้ลองเดินวนรอบ ๆ โบสถ์เก่าคำเกิ้มนี้ดูแล้วละก็ จะสัมผัสได้ถึงการเดินทางผ่านกาลเวลาทั้งจากรอยถลอกของสีที่เคยฉาบเคลือบไว้ และจากการผุกร่อนร่อนพังของปูน ที่เผยถึงการผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝนมาหลักร้อยปี

            ต่อมาในราวปี ค.ศ. 1950 ชาวคำเกิ้มได้ร่วมกันสร้างโบสถ์ชั่วคราวหลังที่ 3 ขึ้นอีกครั้ง และโบสถ์หลังที่ถูกไฟไหม้ก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งก็คือโบสถ์ปูนเปลือยที่อยู่ตรงหน้าเรานี้เอง ซึ่งเมื่อวัดเก่าที่บุ่งกะแทวและท่าแร่ถูกรื้อเพื่อสร้างอาสนวิหารใหม่ วัดเก่าคำเกิ้มแห่งนี้จึงเป็นวัดคาทอลิกเพียงหลังเดียวที่เหลืออยู่ และเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้ และเมื่อโบสถ์คำเกิ้มสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีพิธีทางศาสนาและพิธีเปิดอันยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสสมโภช นักบุญยอแซฟ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2450 โดย พระสังฆราชยัง มารีย์ กืออ๊าส, คุณพ่อกองสตังต์ ยัง บัปติสต์ โปรดม และบรรดาธรรมทูต และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของชาวคริสต์ ซึ่งมีทั้งชาวไทย ชาวเวียดนาม ชาวจีน และชาวลาวที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม และนับเป็นวัดคาทอลิกหลังที่ 3 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ



            ปัจจุบัน แม้โบสถ์คำเกิ้มจะไม่ได้ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว หากแต่ยังคงเก็บรักษาเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองนครพนม โดยผ่านโบสถ์เก่าที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมผสมผสานตะวันตกและตะวันออก และเป็นวัดคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ที่ผู้คนทั้งในนครพนมและจากต่างถิ่น สนใจแวะเวียนกันมาสัมผัสด้วยสายตาและฟังเรื่องราวแต่หนหลังของโบสถ์เก่าคำเกิ้มและหมู่บ้านคำเกิ้มในมิติต่าง ๆ จากมัคคุเทศก์น้อย ซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ในชุมชนบ้านคำเกิ้ม ที่จะเป็นผู้สานต่อเรื่องราวและเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งของการเดินทางและเป็นหนึ่งในการหลอมรวมให้เกิดเป็นเมืองนครพนม นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน "นับเป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ในอดีต เพื่อการก้าวสู่อนาคตได้อย่างกลมกล่อมและร่วมสมัย โดยผ่านคนรุ่นใหม่ในเมืองนครพนม"







0 ความคิดเห็น

Ask OKMD AI